วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

น้องหมวย ก่อเกียรติยิม



ชื่อนักมวย: น้องหมวย ก่อเกียรติยิม

ชื่อจริง:
กาญจนา ทุ่งไธสง

วันเดือนปีเกิด: N/A

ภูมิลำเนา: ปากช่อง, นครราชสีมา

สถิติ: 8-0-0;0KO

เกียรติยศ
:
แชมป์ไลต์ฟลายเวต PABA's Women (2551-2552)
แชมปไลต์ฟลายเวต WBC Female (2552-ปัจจุบัน)



น้องหมวย เริ่มหัดมวยตั้งแต่อายุ 10 ขวบ กับ พ.จ.อ. บุญเหลือ นนท์ทิจันทร์ โดยเริ่มจากมวยไทยก่อน จากนั้นจึงก้าวขึ้นมาชกมวยสากลสมัครเล่นในสังกัดสโมสรราชนาวี จนกระทั่งได้เป็นตัวแทนทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์ในพิกัด 48 กิโลกรัมหญิง และสามารถคว้าเหรียญทองแดงมาครองได้สำเร็จ

หลังจากนั้นกาญจนาก็ก้าวขึ้นเทิร์นโปรชกมวยสากลอาชีพ ภายใต้ชื่อของ น้องหมวย ศิษย์ครูเหลือ โดยได้เข้าร่วมการแข่งขัน "ศึกมวยรอบหญิงนวมทอง ปูนอินทรี มุ่งสู่แชมป์โลก 112 ปอนด์ ครั้งที่ 1" ที่จัดโดย "ก่อเกียรติ กรุ๊ป" และน้องหมวยก็ใช้ลีลาและเชิงชกแบบมวยสมัครเล่น ดักต่อยทำคะแนนเอาชนะคู่ชกคนแล้วคนเล่า อย่าง น้อยกล้วย ส.เพ็ญประภา, เชือดนิ่มนิ่ม ป.ปัญญา, สะเก็ดดาว เกียรติถาวร (ส.เพ็ญประภา) ในรอบแรกๆ ก่อนที่จะเข้าไปหักด่านกับนักชกมากประสบการณ์อย่าง จอมยุทธหญิง เกียรติ น.ว. และน้องหมวยก็เอาชนะคะแนนไปได้อีกครั้ง ทะลุเข้าชิงชนะเลิศกับ โอ๋เอ๋ ลูกแคราย ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 ที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งน้องหมวยก็อาศัยเชิงชกที่เหนือกว่า ทำคะแนนเข้าป้ายคว้าแชมป์มวยรอบหญิงฯ รุ่น 112 ปอนด์มาครองได้สำเร็จ และก็ได้เข้ามาเป็นมวยสร้างของ "ก่อเกียรติ กรุ๊ป" อย่างเต็มตัว

หลังจากนั้นไม่นาน ต้นสังกัดก็ตัดสินใจส่งเธอขึ้นชิงแชมป์ไลต์ฟลายเวต PABA's Women ที่ว่าง กับสาวฟิลิปปินส์ จูเจียท นากว่า เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2551 ที่จังหวัดนครราชสีมา บ้านเกิดของเธอเอง และเธอก็เอาชนะคะแนนสาวตากาล๊อกในกำหนด 10 ยก คว้าแชมป์ PABA มาครองได้เป็นเส้นแรก และนับเป็นแชมป์หญิงคนแรกขงสถาบัน PABA ในเมืองไทยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เธอก็ได้รับโอกาสทองจากต้นสังกัดอีกครั้ง เมื่อ แซมซั่น ส.สิริพร แชทป์รุ่น 108 ปอนด์ของ WBC Female นั้นมีปัญหาส่วนตัวจนไม่สามารถขึ้นป้องกันตำแหน่งได้ตามกำหนดถึง 2 ครั้ง 2 ครา ทำให้ทาง WBC ตัดสินใจยกระดับให้แซมซั่นขึ้นเป็น "แชมป์โลกเกียรติคุณ" ของรุ่นนี้ และให้แชมป์ตัวจริงนั้นว่างลง ทำให้ทาง "ก่อเกียรติ กรุ๊ป"ได้โอกาสส่งน้องหมวยขึ้นชิงแชมป์เส้นนี้ในทันที โดยมีทางสาวเกาหลีใต้วัย 17 ปี อย่าง แดน บิ คิม เป็นคู่ชิงแชมป์โลกที่ว่าง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2552

ผลการชกปรากฏว่า น้องหมวยเป็นฝ่ายชนะคะแนนไปอย่างขาดลอย เพราะใช้จังหวะ 2 ทำคะแนนได้ค่อนข้างดี และกรรมการยังตัดคะแนนสาวเกาหลีไปถึง 5 แต้ม เพราะก้มต่ำตลอดและต่อยหลังจากกรรมการสั่งแยก ทำให้น้องหมวยกลายเป็นแชมป์โลกมวยหญิงคนที่ 3 ของประเทศไทย

(ต้นฉบับภาพประกอบจาก "ก่อเกียรติ กรุ๊ป" โดย พิสิษฐ์ "สิน" เจือจันทร์)

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552

เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม



ชื่อนักมวย: เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม

ชื่อจริง: สุเทพ หวังมุ๊

วันเดือนปีเกิด: 23 สิงหาคม 2519

ภูมิลำเนา: สมุย, สุราษฎร์ธานี

สถิติ: 46-1-1; 20KO

เกียรติยศ:
แชมป์ฟลายเวต PABA (2539-2545, 2547-2550)
แชมปฟลายเวตเฉพาะกาล PABA (2546-2547, 2551)
แชมป์ฟลายเวต WBC Asia (ABCO เดิม) (2551)
แชมป์ฟลายเวต WBA (2551-ปัจจุบัน)


เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม เป็นชาวไทยมุสลิม มีชื่อจริงว่า นายสุเทพ หวังมุ๊ เพื่อนบ้านเรียกกันติดปากว่า "แวฮามะ" เกิดเมื่อ 23 ส.ค. 2519 ปัจจุบันอายุ 32 ปี เป็นลูกคนที่ 2 จากจำนวน 7 คน ของคุณพ่ออูเซ็ง คุณแม่ยาเราะห์ เกิดที่สงขลาบ้านเกิดของพ่อ แต่มาโตที่เกาะสมุยถิ่นเกิดของแม่

เจ้าตัวเปิดเผยว่าตอนเด็กๆดื้อมาก เรื่องชกมวยนั้นความจริงไม่เคยคิดฝันมาก่อนหรอก แต่พออายุได้ 12 ปี พ่อเห็นว่าชีวิตชอบโลดโผนแก่นแก้วนัก เลยพาไปฝากค่ายมวย "เก้าวิชิต"ของ อำนวย แซ่วุ่น หัวหน้าคณะ ซึ่งปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ แต่เลิกทำมวยไปนานแล้ว

มีพี่น้องกันมากถึง 7 คน แต่มีเพียงเจ้ามะคนเดียวเท่านั้น ที่ชะตาชีวิตหันเหให้มาเป็นนักมวยอาชีพ ใช้ชื่อ "เด่นเก้าแสน เก้าวิชิต" ขึ้นชกแถวบ้านเกิดแดนปักษ์ใต้ 70 กว่าครั้ง ได้รับการชูมืออย่างผู้ชนะถึง 52 ครั้ง

ปี 2535 อายุได้ 16 ปี เข้ามาอาละวาดในเมืองกรุง ด้วยการโอบอุ้มของ "ใหม่ เมืองคอน" หรือ ชูโชค (เดิมชื่อ สมคิด) ชูแก้วรุ่งโรจน์ เจ้าของฉายา "จอมวันทาสิบทิศ" ผู้โอบอ้อมอารี

ขึ้นสังเวียนมาตรฐานทั้งราชดำเนิน-ลุมพินี พบกับมวยดีมีระดับ เคยชนะน็อกและชนะคะแนน พานเพชร เมืองสุรินทร์, ชนะน็อก พงษ์ศักดิ์ พ.รื่นฤดี ยก 3 ต่อยมวยรอบฉลามของ ทรงชัย รัตนสุบรรณ แต่โชคไม่ดีแพ้ตกรอบแรกไปเสียก่อน ค่าตัวประมาณ 5-6 หมื่นบาท แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ขึ้นชิงแชมป์มวยไทยเลยสักเส้น

ยุคนั้น รุ่นพี่ร่วมค่ายอย่าง เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง, อาคม เฉ่งไล่ โด่งดังทั้งในเชิงมวยไทย และมวยสากลสมัครเล่น แถมยังเป็นยุคทอง ที่แชมป์โลกมวยสากลอาชีพเมืองไทยกำลังบูม หลังจาก แสน ส.เพลินจิต, หยกไทย ศิษย์ อ. และพิชิต ช.ศิริวัฒน์ กำลังครองแชมป์โลก WBA ประกาศศักดากันเป็นว่าเล่น

ใหม่ เมืองคอน อยากมีแชมป์มวยสากลประดับค่ายบ้าง จึงเรียนลัดจับเด่นเก้าแสน ขึ้นชิงแชมป์ฟลายเวต PABA ที่ว่างในครั้งแรกทันทีเลย ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ลูกพี่ผิดหวัง คว้าแชมป์มาครองในการสวมรองเท้าชกอาชีพไฟต์แรก ชนะคะแนน เมลวิน มากราโม่ นักชกฟิลิปปินส์ตระกูล "หัวกะโหลกไขว้" เมื่อ 28 พ.ย. 2539 ที่จังหวัดสงขลา

แวฮามะรำลึกถึงการชกสากลอาชีพครั้งแรกๆ ว่า "ที่จริง ไม่อยากชกมวยสากลด้วยซ้ำไป เพราะยังไม่เป็นมวยเท่าไหร่ ต่อยมวยสากลต้องซ้อมหนัก แล้วก็เจ็บตัวมาก เพราะยังปัดป้อง ออกหมัดเก้งก้างอยู่"

"ยิ่งเจอกับมวยทรหดอย่างมากราโม่ด้วยแล้ว ทำเอาผมบอบช้ำไม่น้อยเลยทีเดียว ผมมาเริ่มเป็นมวยสากลมากขึ้น ในช่วงที่ได้ ครูปุ๋ย อ.สุเทพ ณ นคร เข้ามาดูแล จากนั้นเริ่มมีประสบการณ์มากขึ้น ก็ทำให้เราต่อยได้ดีขึ้นรู้จักการป้องกันตัว ทั้งรุกและรับ"

จากนั้นมา เจ้ามะก็สามารถป้องกันแชมป์พาบาไว้ได้อย่างยาวนานถึง 18 ครั้ง ก่อนจะสละเข็มขัดไป เพื่อชิงแชมป์โลก WBA ครั้งแรก แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเป็นฝ่ายพ่าย TKO อีริก โมเรล แชมป์โลกชาวเปอร์โตริโก ในยกที่ 11 ที่ฟลอริดา สหรัฐไปเมื่อ 12 ต.ค. 2545

อย่างไรก็ตามเด่นเก้าแสนยังไม่ท้อ และได้โอกาสกลับมาชิงแชมป์พาบาเส้นเดิม รอบนี้ป้องกันแชมป์สมัยที่สองไว้ได้อีกถึง 14 ครั้ง แต่ในระหว่างนั้นชะตาชีวิตเกิดผกผันครั้งใหญ่ขึ้นอีก เมื่อลูกพี่ใหญ่ ใหม่ เมืองคอน เสียชีวิตลงด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้ค่ายเกียรติบ้านช่อง ต้องปิดตัวลง เจ๊หน่อย นางภารดี ภรรยาม่ายจำเป็นต้องขาย เด่นเก้าแสนให้กับ เสี่ยนริส สิงหวังชา รับช่วงดูแลเพื่อสร้างสรรค์สู่บัลลังก์โลกต่อไป ในวงเงินค่าตัว 1.6 ล้านบาท

เจ้ามะเองได้ส่วนแบ่งครั้งนั้นเป็นเงิน 3 แสนบาท พร้อมกับมี ดุรงค์ อพอลโล่ นักมวยเก่า หรือ สวัสดี วรสิงห์ ที่เจ้ามะชอบเรียกว่า "ดันดี ยูไนเต็ด" เข้ามาเป็นเทรนเนอร์คู่บารมี คอยดูแลกันมาตลอดจนถึงปัจจุบัน

เด่นเก้าแสนรั้งตำแหน่งรองแชมป์โลกเบอร์ 1 ในรุ่น 112 ปอนด์ของ WBA ต่อเนื่องมานานแบบมาราธอนเกือบสามปี จึงสบโอกาสสละแชมป์พาบา ขึ้นไปชิงแชมป์โลก WBA เส้นเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้ ทำได้แค่เสมอ ทาเคฟูมิ ซากาตะ เจ้าของตำแหน่งชาวซามูไร อย่างน่าเจ็บใจ ในการชกที่เมืองไซอิตามะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2550

เหตุก็เพราะยกแรก เจ้ามะได้จังหวะจ้วงหมัดขวาส่ง แชมป์โลกร่วงลงไปกองนับแปดแล้ว แต่ยกสี่ เกิดหัวแม่โป้งซ้ายหลุดขึ้นมา จึงต้องประคองตัวชกมือเดียวไปตลอดจนครบ 12 ยก แถมยกสุดท้ายยังถูกกรมการผู้ห้ามบนเวทีตัดคะแนนเข้าให้อีกในข้อหาหนีบหมัด ทำให้ต้องเสมอกันไปแบบไม่เป็นเอกฉันท์ 115-112, 112-114, และ 113-113 ชวดครองแชมป์โลกไปอย่างน่าเจ็บใจ

อกหักซ้ำสองจากการชิงแชมป์โลก เที่ยวนี้ เด่นเก้าแสน หลังหักกลบลบหนี้ได้ค่าเหนื่อยกลับบ้านเพียงแค่แสนกว่าบาท ซ้ำยังต้องพักรักษาหัวแม่โป้งนิ้วมือตัวเอง ที่บาดเจ็บอีกนานหลายเดือน ทำเอาเจ้าตัวท้อ คิดอยากจะเลิกมวยไปเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยปัญหาชีวิตครอบครัวที่แร้นแค้นและยากจน ทำให้ต้องทนชกมวยต่อไป

และไม่นานนักเสี่ยนริสก็ดันให้ขึ้นชิงแชมป์ฟลายเวตสภามวยเอเชีย (ABCO) ที่ปัจจุบันเป็นมาเป็น WBC Asia ที่ว่าง และเจ้ามะก็เอาชนะน็อก เรย์ โอราอิส นักชกฟิลิปปินส์ ยก 3 เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2551 ได้ครองแชมป์สมใจ แต่แล้วลูกพี่ก็ให้สละตำแหน่ง และหันกลับไปชิงแชมป์ฟลายเวตเฉพาะกาล PABA อีกครั้ง เพื่อช่วยเพื่อนซี้ "แชแม้" นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ ผจก.ร่วมขึ้นป้ายเป็นคู่เอก เอาใจสปอนเซอร์ใหญ่กระทิงแดงยิม และคราวนี้ก็ชนะน็อก เดนนิส จูนตินลาโน่ ในยก 2 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2551 ได้แชมป์มาคาดเอวอีกเส้น

และหลังจากนั้นไม่นาน ทางสมาคมมวยโลกก็ได้มีคำสั่งอย่าเงป็นทางการเด่นเก้าแสนขึ้นชิงแชมป์โลกอีกเป็นครั้งที่สามในชีวิต ด้วยข้อเสนออันงดงาม ค่าตัว 6 หมื่นเหรียญสหรัฐ ตั๋วเครื่องบิน 7 ใบ ในไฟต์บังคับ ที่ไม่มีอ๊อปชั่นผูกมัดลังการชกใดๆ รวมวันเก็บความแค้น เพื่อรอคอยวันชำระมาหนึ่งปีพอดี

และเหนืออื่นใด เขาต้องแบกภาระสารพัน การชกทุกครั้งจะถูกหักหนี้เพื่อชำระหนี้สินที่หยิบยืมไป ทั้งยังต้องเลี้ยงดูครอบครัวภรรยาและลูกน้อย ไหนจะต้องถูกไล่ที่หาที่อยู่ใหม่ทันที เมื่อกลับจากญี่ปุ่นในครั้งนี้

ก่อนขึ้นเครื่อง เจ้าตัวทนความเก็บกดไม่ไหว ถึงกับต้องถามผู้จัดการส่วนตัวอย่างตรงไปตรงมา ทั้งที่เป็นคนขี้เกรงใจและมักไม่กล้ามีคำถามโต้แย้งใดๆ มาตลอด เมื่อได้คำตอบว่า ค่าเหนื่อยจากการชกครั้งนี้ เขาจะได้ส่วนแบ่ง 5 แสนบาท..!! เป็นมูลค่าที่เจ้าตัวพอใจ ถือว่าพอเพียงต่อความอัดอั้นตันใจที่ต้องเก็บสะสมมานาน
ถึงเวลานั้น เขาพร้อมแล้ว ที่จะมุ่งมั่นทุมเท ทุกอย่างเพื่อเดิมพันทั้งชีวิต ความรู้สึกนั้นเจ้ามะถึงขนาดเปรยออกมาให้คนใกล้ชิดได้ฟัง ระหว่างนั่งเครื่องบินมุ่งหน้าสู่แดนอาทิตย์อุทัยว่า "ชกครั้งนี้ ถ้าผมแพ้กลับไป ชีวิตผมจะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่บ้านก็ไม่มีอยู่..ผมต้องสู้ตายอย่างเดียว"

หลังจากนั้น ก็คือเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ที่ซัน พลาซ่า ฮอลล์ เมืองฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น ที่ทำให้เด่นเก้าแสน กลายเป็นแชมป์โลกคนใหม่ ชนิดที่เจ้าตัวสะใจลึกซึ้งกว่าใคร

เป็นความสำเร็จที่งดงามและรวดเร็วเกินความคาดหมาย สำหรับชัยชนะของ เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม ที่สามารถคว้าแชมป์ฟลายเวตสมาคมมวยโลก (WBA) มาครองสมใจ ด้วยการชนะน็อก ทาเคฟูมิ ซากาตะ เจ้าของตำแหน่งชาวซามูไรลงได้เพียงแค่ยกที่ 2 เท่านั้น ของการชกที่ ซันพลาซ่า ฮอลล์ เมืองฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น เมื่อค่ำวันสิ้นปี พุธที่ 31 ธ.ค. 2551 ที่ผ่านมา ด้วยหมัดฮุคขวาเข้าเต็มๆทัดดอกไม้ของเจ้าของตำแหน่งชาวอาทิตย์อุทัยในปลายยกดังกล่าว และหมัดนี้หมัดเดียวเท่านั้นก็ส่งร่างของซากาตะทรุดลงไปกับพื้นอย่างช้าๆ และหงายหลังเหยียดยาวอยู่ข้างเชือก แม้ว่ายอดกรรมการผู้ห้ามบนเวทีจะพยายามนับอย่างช้าๆ เพื่อให้ซากาตะลุกขึ้นได้ แต่ซากาตะก็ยืนไม่อยู่ ทำให้กรรมการผู้นั้นต้องจำใจโบกมือยุติการชกลงด้วยเวลา 2 นาที 55 วินาที ของยกที่ 2 นี้เอง

นอกจากจะเป็นความเพียรพยายามของ เจ้ามะ ที่ต้องรอคอยมานานนับสิบปีแล้ว เขายังกลายเป็นแชมป์โลกชาวไทยคนที่ 39 หากนับแค่สถาบันหลัก (WBC, WBA, IBF, WBO) ซ้ำยังเป็นแชมป์โลกชาวใต้คนที่สองต่อจาก โอเล่ห์ดง กระทิงแดงยิม อีกด้วย

ส่วนหนึ่งแห่งความสำเร็จของเด่นเก้าแสนในครั้งนี้ มีองค์ประกอบหลายอย่าง นอกจากเสี่ยนริส ผู้สนับสนุนแล้ว ทีมงานสต๊าฟโค้ชเดิม อย่าง ดุรงค์ อพอลโล่, ภูมิ โอซาก้า และยิ่งได้ เขาทราย แกแล็คซี่ อดีตแชมป์โลกขวัญใจชาวไทย เข้ามาเป็นเทรนเนอร์ "พิเศษ" เสริมเทคนิคการชก ก็ดูเหมือนความมั่นใจและสภาพความฟิตของเจ้ามะ จะอยู่ในขั้นสมบูรณ์ทุกอย่าง แม้วัยจะปาเข้าไป 32 ปีแล้วก็ตาม องค์ประกอบเหล่านั้น ดูจะเป็นการหล่อหลอมให้ เด่นเก้าแสน มีสภาพพร้อมเต็มพิกัด

การได้แชมป์โลกเส้นนี้มาครอง โดยไม่มีอ๊อปชั่นหรือสัญญาใดๆผูกมัด ยังไม่ทันข้ามคืนก็ดูเหมือนเส้นทางของแชมป์โลกคนใหม่ชาวไทยจะมีตัวเลือกแจ้งเกิดใหม่อย่างทันตาเห็นเลยทีเดียว

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ชัยชนะอย่างเด็ดขาดของ เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม เหนือ ทาเคฟูมิ ซากาตะ เพียงแค่ยกที่ 2 จนสามารถคว้าเข็มขัดแชมป์ฟลายเวต สมาคมมวยโลก (WBA) มาครองได้สำเร็จ เป็นของขวัญอันล้ำค่ายิ่ง สำหรับพี่น้องชาวไทย รับศักราชใหม่ปี พ.ศ.2552 เลยทีเดียว ก่อนจะเป็นแชมป์โลกขวัญใจชาวไทยสถาบันหลักคนที่ 39 เส้นทางของเด่นเก้าแสน ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ต้องต่อสู้ ผ่านชัยชนะและพ่ายแพ้มาอย่างโชกโชน จัดว่าเป็นนักสู้ชีวิตที่มีความมานะบากบั่น ในทำนองเดียวกับ "สมจิตร จงจอหอ" ที่ล้มเหลวหลายครั้ง กว่าจะคว้าเหรียญโอลิมปิกมาครอง แต่บทสรุปของเด่นเก้าแสน จะสมบูรณ์แบบด้วยเกียรติยศและรางวัลหมือนอย่างที่สมจิตรได้หรือไม่ เวลาและผลงานของเด่นเก้าแสน จะเป็นผู้ตอบคำถาม

และเส้นทางข้างหน้าของเด่นเก้าแสน ก็คือ จะต้องพยายามป้องกันแชมป์ รักษาเข็มขัดแชมป์ให้เหนียวแน่นที่สุด เพื่ออนาคตของตนเองและครอบครัว

หลังจากได้เข็มขัดแชมป์ เด่นเก้าแสนเล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ตัวเองว่า ความจริงแล้วชกมวยมามากมาย ป้องกันแชมป์พาบาแต่ละสมัย รวมกันแล้วก็ไม่น้อยเลยทีเดียว

ครั้งอยู่กับน้าใหม่ เมืองคอน ช่วงแรกๆ ป้องกันแชมป์พาบาได้ 18 ครั้ง ชกแต่ละครั้งได้ค่าตัวไฟต์ละ 1 แสนบาท เมื่อย้ายมาอยู่กับ เสี่ยนริส สิงหวังชา ได้ค่าตัวน้อยเหลือไฟต์ละ 8 หมื่นบาท คนภายนอกอาจจะคิดว่า น่าจะมีเงินเก็บมากมายพอสมควร แต่ความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะสมัยอยู่กับน้าใหม่ เงินค่าตัวส่วนใหญ่จะได้แบบผ่อนส่ง เพราะน้าใหม่ไม่ค่อยมีเงิน ซ้ำค่าใช้จ่ายในค่ายช่วงนั้นก็มีภาระเยอะมากมาย บางทีไม่มีเงินก้อนให้ จ่ายเป็นเดือนบ้างก็บ่อยไป แต่เราก็เข้าใจเขา ยิ่งมาอยู่กับเสี่ยนริส ค่ากินอยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟ เราต้องดูแลตัวเองตลอด ไหนจะเรื่องเลี้ยงดูลูกและเมียด้วย เรื่องชกมวยต้องรอนาน 3-4 เดือนจึงจะได้ชกสักครั้ง จึงแทบไม่มีเงินเหลือใช้ในแต่ละเดือน โชคยังดีถ้าช่วงไหนชอร์ตขึ้นมา สามารถไปขอหยิบยืมเสี่ยนริสได้ตลอดเวลา แต่เมื่อชกมวยแล้ว จะต้องถูกหักหนี้แต่ละครั้งไป

ชีวิตครอบครัว เด่นเก้าแสนอยู่กินกับภรรยาคนที่สอง จารุณี เกียรติวงศ์ มา 6 ปีแล้ว มีทายาทวัยขวบครึ่งชื่อ ด.ญ.ฐิติมา หวังมุ๊ หรือ "น้องแวซง" เป็นพยานรัก ก่อนหน้านั้น อยู่กินกับภรรยาคนแรก ใช้ชีวิตกันมาสิบกว่าปี มีลูกชายหนึ่งคน คือ ด.ช.โสพล หวังมุ๊ ปัจจุบันอายุ 12 ขวบ เมื่อหย่าร้างกับภรรยาคนแรก ลูกชายไปฝากเลี้ยงไว้กับ ปู่และย่าที่เกาะสมุย เรียนหนังสือที่นั่น แชมป์โลกคนล่าสุด ยังเล่าว่า ใครๆ มักจะพูดว่า ศาสนาเราให้มีภรรยาได้หลายคน แต่เรื่องจริงมันไม่ง่ายอย่างนั้น

"ผมเห็นเขาพูดกันเยอะ แต่จริงๆมีที่ไหนกัน ผู้หญิงที่ไหน ใครเขาจะไปยอมให้เรามีเมียพร้อมๆ กันได้ ภรรยาคนปัจจุบันก็ขี้หึงจะตาย แค่เอ่ยชื่อพูดถึงก็ไม่ได้ จะเป็นเรื่องราวกันตลอด"

"ตัวผมก็ไม่อยากมีปากมีเสียงอยู่แล้ว ความจริงโทษใครไม่ได้ ต้องบอกว่า เราต้องโทษตัวเอง ที่ทำอะไม่คิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ มีครอบครัวแล้วสมัยก่อนยังทำตัวเหลวไหล เที่ยวเตร่นอกลู่นอกทางบ้าง แต่ถึงวันนี้ประสบการณ์สอนเราให้โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก"

"ผมคิดว่าวันนี้ได้เป็นแชมป์โลกแล้ว ชีวิตอาจจะดีขึ้น น่าจะพอลืมตาอ้าปากขึ้นได้บ้างครับ" แชมป์โลกนักสู้ชีวิตกล่าวอย่างมีความหวัง

"เจ้ามะ"ในทรรศนะคนใกล้ชิด

เขาทราย แกแล็คซี่ เทรนเนอร์ "เฉพาะกิจ"

" ผมได้ชื่อว่าเป็นมวยที่ชกลำตัวดีที่สุดในรุ่น จูเนียร์แบนตั้มเวตของโลก เป็นมวยที่ถนัดออกหมัดฮุกทั้งซ้ายและขวา แต่ต้องยอมรับว่า เมื่อผมได้เข้ามาเทรนเขา(เด่นเก้าแสน) เขาเป็นมวยที่ต่อยหมัดตรงได้ดีที่สุดคนหนึ่ง เมื่อผมเน้นให้เขาออกหมัดต่อยลำตัว เห็นได้ชัดว่า เขาออกหมัดชกลำตัวด้วยหมัดตรงได้ดีกว่าผมเสียอีก"

"แชแม้"นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ ผจก.ร่วม

"เด่นเก้าแสน เป็นมวยที่ชกฉลาด เขาเรียนรู้การชกได้เร็ว มวยอย่างเขาถึงจะอายุ 32 ปีแล้ว แต่ถ้าเขามีระเบียบวินัย ดูแลตัวเหมือนไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เหมือนอย่างเขาทราย อายุตัวเลขไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเขาแน่ อย่างน้อยเขาสามารถชกมวยไปได้อีกนานหลายปีเลยทีเดียว"

"ดันดี" ดุรงค์ อพอลโล่ เทรนเนอร์คู่บารมี

"เจ้ามะเป็นคนดี มีน้ำใจ กับน้องๆ และเพื่อนร่วมค่ายทุกคนเสมอ แม้จะไม่มีเงิน แต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งคนอื่น เวลามีเราก็กินด้วยกัน เวลาอดเราก็อดด้วยกัน เขาไม่เคยถือตัว เสมอต้นเสมอปลายมาตลอด ถือเป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักมวยรุ่นน้องในค่ายเลยทีเดียว

นริส สิงหวังชา ผจก.ส่วนตัว

"โอกาสที่เขาจะทำเงินทำทองมากมายมหาศาลนั้นรออยู่ข้างหน้า เพราะขณะนี้ เราได้รับการติดต่อจากทางญี่ปุ่นมากมายหลายราย โดยเฉพาะที่สำคัญหากได้ชกกับนักมวยตระกูล"คาเมดะ" ไม่ว่าจะเป็นพี่หรือน้อง เขาจะได้ค่าตัวในแต่ละไฟต์ไม่ต่ำกว่า 1.8 แสนเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว

(ต้นฉบับภาพประกอบจาก Associated Press; เรียบเรียงและเพิ่มเติมจาก "จับเข่า "เด่นเก้าแสน" กว่าจะถึง "บัลลังก์แชมป์"" โดย สร้อย มั่งมี หนังสือพิมพ์ข่าวสด ปีที่ 18 ฉบับที่ 6614 วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552, และ "เด่นเก้าแสน กระทิงแดงยิม แชมป์โลกที่ได้มาเพราะความพยายาม" โดย สร้อย มั่งมี หนังสือพิมพ์ข่าวสด ปีที่ 18 ฉบับที่ 6611 วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552)