วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ฟ้าประกอบ กระทิงแดงยิม



ชื่อนักมวย: ฟ้าประกอบ กระทิงแดงยิม

ชื่อจริง: ระหยัด ไสวงาม

วันเดือนปีเกิด: 7 สิงหาคม 2518

ภูมิลำเนา: อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น

สถิติ: 51-4-0; 34KO

เกียรติยศ
:
แชมป์แบนตั้มเวต WBF (2537-2540)
แชมป์จูเนียร์เฟเธอร์เวต IBF Intercontinental (2542-2545)

แชมป์เฟเธอร์เวต IBF Pan Pacific (2546-2549)


ฟ้าประกอบเป็นนักมวยอีกคนหนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวชาวนา ที่มีพี่น้องมากมายถึง 12 คน โดยเขาเป็นคนที่ 11 จากพี่น้องทั้งหมด เจ้าของฉายา "เทพบุตรหมัดสั่ง" ครองแชมป์แบนตั้มเวต WBF ที่ว่างด้วยการเอาชนะน็อค โบอาเลม เบลคีฟ จากอัลจีเรียในยก 12 และป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้ถึง 7 ครั้ง ก่อนที่จะประสบปัญหาส่วนตัวจนต้องหยุดชกไปร่วม 2 ปี ก่อนจะกลับมาภาคใหม่ชิงแชมป์จูเนียร์เฟเธอร์เวต IBF Intercontinental ที่ว่างได้ด้วยการชนะคะแนน เอเดรียน คัสปารี่ จากอินโดนีเซีย

เขาป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้ทั้งสิ้น 3 ครั้ง ก่อนจะได้ไปชิงแชมป์จูเนียร์เฟเธอร์เวต IBF ของจริงกับ แมนนี่ ปาเกียว และในไฟต์นี้ฟ้าประกอบก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้ยับเยินที่สุดในชีวิต เมื่อถูกปาเกียวต่อยเอาล้มคว่ำล้มหงายถึง 3 ครั้ง แพ้ TKO ไปแค่ยกแรกเท่านั้น แต่เขาก็ยังกลับมาในรุ่นใหญ่กว่าและชิงแชมป์เฟเธอร์เวต IBF Pan Pacific ที่ว่างมาครองได้ด้วยการชนะคะแนน โรเบอร์โต้ หรือ โรเบิร์ต ดาลิเซ่ย์ เขาป้องกันแชมป์เอาไว้ได้แล้วสิบกว่าครั้ง รวมทั้งเอาชนะน็อค อัลเบอร์โต้ "บ๊อบบี้" ปาเกียว น้องชายของ แมนนี่ ปาเกียว คู่ปรับเก่าในยกที่ 9 เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2548 ด้วย

ฟ้าประกอบปัจจุบันมีภรรยาแล้วชื่อว่า "ภคพร ปฐมภาคย์" ซึ่งทั้งสองพบรักกันเมื่อเขาตามฟ้าลั่นไปชกมวยที่จังหวัดนราธิวาส และอยู่ด้วยกันมานาน 7-8 ปีแล้ว (นับถึงปี 2549) แต่ยังไม่มีบุตรด้วยกัน และบ้านพักของเขาในปัจจุบันก็อยู่ในหมู่บ้านทาวน์เฮ้าส์ "กิติรัตนา" จังหวัดนนทบุรี

ล่าสุดฟ้าประกอบได้ชิงแชมป์ว่างในรุ่นเฟเธอร์เวตของ IBF กับ วัลเดเมียร์ ปาไรร่า นักชกบราซิล ในวันที่ 21 ม.ค. 2549
แต่พ่ายคะแนนขาดลอยชวดแชมป์อย่างน่าเสียดาย พร้อมกับหายหน้าหายตาไปจากวงการมวยนับแต่นั้นมา

(ข้อมูลบางส่วนจากเรื่อง "บักจู๋ ฟ้าประกอบ กระทิงแดงยิม" คอลัมน์ "ปลายสังเวียน" โดย "หมู อันดามัน" นสพ.มวยสยามรายวัน ปีที่ 13 ฉบับที่ 4492 วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2549, ต้นฉบับภาพประกอบจากเว็บไซด์ siamsport.com)

ดาวรุ่ง ช.ศิริวัฒน์



ชื่อนักมวย: ดาวรุ่ง ช.ศิริวัฒน์

ชื่อจริง:
สุรพล สีแดงน้อย

วันเดือนปีเกิด:
1 เมษายน 2512

ภูมิลำเนา:
จ. อุตรดิษฐ์

สถิติ:
62-6-3; 39KO

เกียรติยศ
:
แชมป์ฟลายเวตประเทศไทย (เวทีราชดำเนิน) (2531-2532)
แชมป์แบนตั้มเวตประเทศไทย (เวทีราชดำเนิน) (2532-2535)
แชมป์แบนตั้มเวต
OPBF
(2534-2537)
แชมป์แบนตั้มเวต
WBA (2537-2538, 2539-2540)

ดาวรุ่งนั้นเดิมทีใช้สีเสื้อเทคนิคอุตรดิษฐ์ในการชกมวยสากลอาชีพช่วงแรกๆของเขา โดยหลังจากขึ้นชกชนะรวด 11 ครั้ง เขาก็ได้โอกาสขึ้นชิงแชมป์ฟลายเวตเวทีราชดำเนินเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2530 แต่ก็พลาดท่าแพ้คะแนน 10 ยกให้กับนักชกประสบการณ์สูงอย่าง เพชรชัยนาท ดอนเจดีย์ ชิงแชมป์ครั้งแรกไม่สำเร็จ หลังจากนั้นดารุ่งทำท่าว่าจะกู่ไม่กลับเมื่อขึ้นชนะเพียงครั้งเดียวก่อนที่จะออกนอกบ้านไปแพ้คะแนน 10 ยก บิ วอน ชุง ที่เกาหลีใต้ ก่อนจะกลับมาแพ้คะแนนเพชรชัยนาทอีกครั้งในการชิงแชมป์ฟลายเวตเวทีราชดำเนินเป็นครั้งที่ 2 แต่แล้วฟ้าก็เข้าข้างเขาจนได้เมื่อเพชรชัยนาทไปพลาดท่าแพ้น็อคเสียแชมป์ไปให้กับ แชมป์ เกียรติเพชร ดังนั้นดาวรุ่งจึงมีโอกาสชิงแชมป์เส้นเดิมอีกเป็นครั้งที่ 3 และคราวนี้ดาวรุ่งก็ไล่ทุบแชมป์แพ้น็อคไปในยกที่ 3 คว้าแชมป์ฟลายเวตเวทีราชดำเนินไปครองสมใจเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2531

ดาวรุ่งออกนอกบ้านไปเสมอกับ เร กี อาห์น ที่เกาหลีใต้เพียงครั้งเดียว ก่อนที่จะกลับมาคว้าชัยกราวรูดร่วม 10 ไฟต์
รวมทั้งชนะคะแนน 10 ยก ชูชาติ เอื้อสัมพันธ์ ได้เป็นแชมป์แบนตั้มเวตเวทีราชดำเนินอีกเส้นเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2532 และหลังจากที่เป็นแชมป์แล้วก็ขึ้นชกอีกหลายไฟต์มีเสมอเพียงครั้งเดียวนอกนั้นชนะรวด ในจำนวนนี้เป็นการป้องกันตำแหน่งแชมป์แบนตั้มเวตเวทีราชดำเนิน 2 ครั้ง ก่อนที่จะสบโอกาสได้ขึ้นชิงแชมป์แบนตั้มเวต OPBF จาก ยุง ชุง มิน แชมป์ชาวโสมเมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2534 และดาวรุ่งก็ชนะ TKO
ยก 7 คว้าแชมป์ระดับทวีปมาครองได้สำเร็จ

ดาวรุ่งขึ้นชก ชนะรวดอีก 14 ไฟต์ ซึ่งมีการป้องกันแชมป์เวทีราชดำเนิน 1 ครั้ง กับป้องกันแชมป์
OPBF 2 ครั้งรวมอยู่ด้วย ต่อมาดาวรุ่งได้มาอยู่ในสังกัดของโปรโมเตอร์ ทรงชัย รัตนสุบรรณ และมี อิสมาเอล ซาลาส ชาวคิวบาเป็นเทรนเนอร์ และก็ได้โอกาสขึ้นชิงแชมป์แบนตัมเวWBA จากแชมป์โลกชาวอเมริกัน จอห์น ไมเคิล จอห์นสัน เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2537 ที่บ้านเกิด และโชคก็เข้าข้างดาวรุ่งเพราะเมื่อลุยใส่กันแค่ยกเดียวจอห์นสันก็เกิดแผลแตกจากอุบัติเหตุหัวชนกัน แต่กรรมการมองว่าแตกเพราะหมัดจึงชูมือให้ดาวรุ่งชนะ TKO ก่อนขึ้นยกที่ 2 เป็นแชมป์โลกคนใหม่ไปทันที โดยนับเป็นแชมป์โลกคนที่ 4 ภายใต้การสร้างสรรค์ของโค้ชคิวบาผู้นี้ต่อจาก แสน ส.เพลินจิต, หยกไทย ศิษย์ อ., และ พิชิต ช.ศิริวัฒน์


เขาขึ้นป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้ในบ้าน 2 ครั้ง โดยครั้งแรกชนะ
TKO5 อิล ซิค โกห์ ผู้ท้าชิงชาวเกาหลีใต้ กับเสมอกับ หลักหิน ซีพียิม นักชกในเครือของยอดโปรโมเตอร์ตาหวาน "แชแม้" นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ แต่พอเขาขึ้นป้องกันแชมป์หนที่ 3 กับ วีระพล นครหลวงโปรโมชั่น เจ้าของฉายา "พระกาฬหน้าขรึม" ในวันที่ 17 ก.ย.2538 ซึ่งครั้งนี้ศิษย์เอกของ "เสี่ยฮุย" สุชาติ พิสิฐวุฒินันท์ เป็นฝ่ายมีชัยในแบบไม่เป็นเอกฉันท์ (118-113, 117-114, และ 114-115) ทำให้ดาวรุ่งต้องกาลเป็นอดีตแชมป์โลกไปในทันที ซึ่งไฟต์นี้ั้นถือเป็นการชกอาชีพเพียงไฟต์ที่ 4 เท่านั้นของวีระพล และนับเป็นศึกสายเลือดคู่ที่ 5 ครั้งที่ 6 ของเมืองไทยอีกด้วย

ดาวรุ่งขึ้นอุ่นเครื่อง 4 ครั้ง ก็ได้โอกาสชิงแชมป์โลกรุ่นเดิมอีกครั้งกับเจ้าของตำแหน่งคนใหม่ นานา ยอว์ คอนาดู ที่น็อควีระพลในยกที่ 2 แย่งแชมป์มาครอง คราวนี้ชกกันมาถึง 10 ยกก็หัวชนกันจนดาวรุ่งแตกชกต่อไม่ได้ และเมื่อรวมคะแนนดาวรุ่งก็ชนะไปเอกฉันท์ 97-96, 96-94, และ 97-94 กลายเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2539 ซึ่งสมัยนี้เขาป้องกันตำแหน่งได้ 1 ครั้งด้วยการชนะคะแนน เฟลิกซ์ มาชาโด้ อย่างไม่เป็นเอกฉันท์และเฉียดฉิว

"แป๊ะยิ้ม" เมืองไทยอย่างดาวรุ่งต้องบินกลับไปให้อดีตแชมป์คอนาดูแก้มือถึงสหรัฐอเมริกา และคราวนี้ก็โดนคอนาดูถล่มเอาเละเทะแพ้
TKO
ไปในยกที่ 7 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540 เสียแชมป์โลกไปในที่สุด พร้อมกับประกาศเลิกชกแขวนนวมไปหลังไฟต์นี้เอง

ปัจจุบันดาวรุ่งทำงานเป็นทหารบก พอมีพอกินตามอัตภาพ


(ต้นฉบับภาพประกอบจากเว็บไซด์ต่างประเทศ)


เจ้าสิงห์ทอง นครหลวงโปรโมชั่น



ชื่อนักมวย: เจ้าสิงห์ทอง นครหลวงโปรโมชั่น

ชื่อจริง: ุญฤกษ์ ไกลโศก

วันเดือนปีเกิด: 7 กรกฎาคม 2514

ภูมิลำเนา: จ. บุรีรัมย์

สถิติ: 29-5-1; 9KO

เกียรติยศ
:
แชมป์ซูเปอร์ฟลายเวต
WBC International (2537)
แชมป์ซูเปอร์ฟลายเวต
WBU (2539)

จ้าสิงห์ทองจัดเป็นมวยสร้างยุคแรกขอ "เสี่ยฮุย" สุชาติ พิสิฐวุฒินันท์ เสี่ยโรงหนังชานเมืองผู้รักมวยเป็นชีวิตจิตใจ เขาเป็นมวยเชิงสวยมากกว่าหมัดหนักดังนั้นจึงชนะน็อคกับเขาไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่

ในการชก 3 ไฟต์แรก เขาแพ้เสีย 2 ครั้ง เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีอนาคตเอาเลย อย่างไรก็ตามเขาสามารถพลิกฟอร์มกลับมาชนะ 10 กว่าไฟต์ มีแพ้แทรกอยู่ครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นชิงแชมป์ซูเปอร์ฟลายเวต WBC International กับนักชกฟิลิปปินส์ โรเจอร์ กามาย็อต เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2537 และก็เอาชนะน็อคไปได้แค่ยกที่ 2 คว้าแชมป์สำเร็จ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ป้องกันตำแหน่งเลยสักครั้งเป็นเวลานาน ก่อนที่จะสละแชมป์ไปในเวลาต่อมา

เจ้าสิงห์ทองได้แชมป์ซูเปอร์ฟลายเวต WBU ที่ว่างมาครองจากการเอาชนะคะแนน เปตริก้า จานอส พาราสชิพ แชมป์ฟลายเวตโรมาเนีย อย่างไม่เป็นเอกฉันท์เมื่อววันที่ 23 มีนาคม 2539 แต่เพียงแค่อีก 2 เดือนเศษต่อมาเขาก็ต้องเสียแชมปไปแบบพลิกล็อคด้วยการพ่ายน็อคยก 2 สคุมซี่ แม็กซ์วาลิซ่า จากแอฟริกาใต้ ในวันที่ 15 เดือนมิถุนายนปีเดียวกัน

หลังจากนั้นเขาขึ้นชกชนะนักมวยไทยด้วยกันไฟต์หนึ่ง ก่อนที่จะแพ้น็อค โฮเว่น ฮอร์ด้า นักมวยฟิลิปปินส์ในยกที่ 8 และแขวนนวมไปในปีเดียวกับที่ได้แชมป์ WBU นั่นเอง

ปัจจุบันแว่วว่าเขายังทำงานอยู่กับ "เสี่ยฮุย" อย่างมีความสุขตามอัตภาพ

(ต้นฉบับภาพประกอบจากนิตยสารมวยโลก)

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ฉัตรชัย สิงห์วังชา



ชื่อนักมวย:
ฉัตรชัย สิงห์วังชา

ชื่อจริง:
ฉัตรชัย สาสะกุล

วันเดือนปีเกิด:
5
กุมภาพันธ์ 2513

ภูมิลำเนา:
จ.
กรุงเทพ

สถิติ:
64-4-0; 39KO

เกียรติยศ:

แชมป์ฟลายเวต WBC International (2535-2538)
แชมป์ฟลายเวตเฉพาะกาล WBC (2540)
แชมป์ฟลายเวต WBC (2540-2541)
แชมป์แบนตั้มเวตเฉพาะกาล ABCO (2546-2547)
แชมป์แบนตั้มเวต ABCO (2547-2549)
แชมป์
ซูเปอร์ฟลายเวตเฉพาะกาล ABCO (2549-2550
)

ฉัตรชัยเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นฝีมือดีมาก่อนที่จะมาเอาดีทางมวยอาชีพ เขาเทิร์นโปรชนะรวด 3 ครั้งก็ได้ขึ้นชิงแช่มป์ WBC International รุ่นฟลายเวตที่ว่าง และเขาก็เอาชนะ TKO8 เรนาโต้ "ริค" มากราโม่ ได้เป็นแชมป์คนใหม่อย่างง่ายดายเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2535 ฉัตรชัยชกอุ่นเครื่อง 14 ครั้งสลับกับการป้องกันแชมป์เงา 2 ครั้ง จนรั้งตำแหน่งรองอันดับ 1 ของรุ่น และได้โอกาสเดินทางไปชิงแชมป์ฟลายเวต WBC กับ ยูริ อาร์บาชาคอฟ เจ้าของตำแหน่งชาวรัสเซียที่ญี่ปุ่นเอาไปสร้างสรรค์ที่กรุงโตเกียวในวันที่ 25 กันยายน 2538 แต่ก็พ่ายคะแนนไปอย่างใกล้เคียงชวดเป็นแชมป์โลกไปอย่างน่าเสียดาย เขากลับมาอุ่นเครื่องชนะรวดอีก 8 ครั้งก็ได้โอกาสชิงแชมป์ฟลายเวตเฉพาะกาล WBC ที่ว่าง เอาชนะคะแนน 12 ยก อิสซาเอียส ซามูดิโอ นักชกอเมริกันที่จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2540 ฉัตรชัยขึ้นป้องกันแชมป์เฉพาะกาลเอาไว้ได้ 1 ครั้งก็ได้โอกาสบินไปแก้มือกับ ยูริ อาร์บาชาคอฟ อีกครั้ง คราวนี้ฉัตรชัยโชว์ลีลายอดมวยต้อนตือเอาชนะคะแนนไปขาดลอยแย่งแชมป์ฟลายเวต WBC ของจริงมาครองได้สำเร็จ ฉัตรชัยป้องกันแชมป์เอาไว้ได้ 2 ครั้งก็พลาดท่าพ่ายน็อค แมนนี่ ปาเกียว ในยกที่ 8 เสียแชมป์ไปพลิกล็อค เพราะทำคะแนนนำมาตลอด 7 ยกแรก

อย่างไรก็ตามฉัตรชัยกลับมาอุ่นเครื่องชนะรวดอีก 8 ครั้งก็ต้องวางนวมไปในภาคแรก เพราะปัญหาครอบครัวนานถึง 2 ปี และเมื่อเขากลับมาในภาคใหม่ ชกเพียง 2 ครั้งก็ได้เป็นแชมป์เฉพาะกาลรุ่นแบนตั้มเวต
ABCO เมื่อเอาชนะคะแนน 12 ยก อัลลัน ฟูเอนเตส ได้ครองแชมป์ที่ว่างเมื่อ 30 เม.ษายน 2547 เขาขึ้นป้องกันตำแหน่งไว้ได้ 1 ครั้งก็ได้รับการสถาปนาเป็นแชมป์ตัวจริงเมื่อ แสงหิรัญ กระทิงแดงยิม แชมป์ตัวจริงก้าวข้ามรุ่นไปชกในพิกัด 122 ปอนด์ อย่างไรก็ตามฉัตรชัยยังขึ้นชกอุ่นเครื่องชนะรวดอีกหลายครั้ง จนขณะนี้อันดับโลกที่มีอยู่ในรุ่นซูเปอร์ฟลายเวต WBC
ก้าวขึ้นไปอยู่ในอับดับ 2 และกำลังรอจังหวะที่ชิงแชมป์โลกรุ่นที่ 2 อีกครั้ง แต่ต่อมาฉัตรชัยบินไปพ่ายคะแนน คูนิยูกิ อาอิซาว่า แม้ว่าจะได้นับ 8 เมื่อ 12 ธ.ค. 2548 ทำให้อันดับตกรูด

ฉัตรชัยยังกลับมาชกนอกรอบชนะอีก 2 ครั้งก็ประกาศสละตำแหน่งแชมป์แบนตั้มเวต
ABCO เพื่อลดรุ่นลงมาชิงแชมป์ซูเปอร์ฟลายเวตเฉพาะกาล ABCO ที่ว่างกับ คาซึมิ มากิยาม่า และเอาชนะ TKO5 ได้ครองแชมป์เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2549 หลังจากนั้นก็ป้องกันตำแหน่งได้ 1 ครั้ง อย่างไรก็ดี ฉัตรชัยก็ต้องสละตำแหน่งไปเมื่อต้นปี 2550 เนื่องจากต้นสังกัดไม่พอใจที่ทาง ABCO
ม่สามารถที่จะให้เขาชกหาแชมป์หนึ่งเดียวกับแชมป์ตัวจริง เดวิด นครหลวงโปรโมชั่นส์ ได้

วันที่ 30 มี.ค. 2550 ฉัตรชัยถล่มคู่ชก ลิโต้ ซิสนอริโอ้ จากฟิลิปปินส์เสียจนเลือดคั่งในสมอง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

หลังจากวันนั้นไอ้หนึ่งขึ้นชกอีกหลายครั้ง บางครั้งก็โชว์ฟอร์มดี บางครั้งก็เกือบแย่ เช่นไฟต์ที่โดน มาร์วิน แทมโปส อดีตแชมป์
PABA าวฟิลิปปินส์ต่อยร่วงเกือบโดนน็อค ก่อนจะชนะคะแนน 8 ยกไปได้อย่างทุลักทุเล เมื่อ 24 ต.ค. 2550 ที่ผ่านมา ล่าสุดฉัตรชัยเอาชนะ TKO2
านิส คูเอลฟิน ไปได้อย่างง่ายดายเมื่อ 4 ธันวาคม 2550

ฉัตรชัยได้เดินทางไปขึ้นชิงแชมป์ซูเปอร์ฟลายเวต WBC/WBA จาก คริสเตียน มิฮาเรส แชมป์โลกชาวจังโก้เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 51 ตามเวลาที่เมืองมอนเทอร์เร่ย์ ถิ่นของแชมป์โลก หรือตรงกับเช้าวันที่ 31 สิงหาคมเวลาประเทศไทย ซึ่งฉัตรชัยก็พลาดท่าถูกนักชกหนุ่มถลุงพ่าย TKO ไปแค่ต้นยกที่ 3 เท่านั้น

(ต้นฉบับภาประกอบจาก เพชรยินดี บ๊อกซิ่ง โปรโมชั่น)

มงคล แอลจียิม



ชื่อนักมวย: มงคล แอลจียิม

ชื่อจริง
: ประสิทธิ์ ศรีพรหมใต้

วันเดือนปีเกิด:
30 เมษายน 2521

ภูมิลำเนา:
อ. บ้านไผ่, จ. ขอนแก่น

สถิติ:
25-3-0; 8KO

เกียรติยศ:

แชมป์มินิมั่มเวตประเทศไทย (เวทีราชดำเนิน) (2538-2539)
แชมป์จูเนียร์ฟลายเวต WBF (2538-2540)
แชมป์มินิมั่มเวต
PABA (2543)

มงคลเป็นนักมวยที่ไร้วาสนาคนหนึ่ง ในช่วงแรกเขาชกชนะ 12 จาก 13 ไฟต์ ก็ได้โอกาสขึ้นชิงแชมป์มินิฟลายเวตของเวทีราชดำเนินที่ว่างกับคู่ปรับเก่า เพชรตาแมว นราตรีกุล และมงคลอาศัยเชิงมวยที่เหนือกว่าเอาชนะคะแนนไปได้ในกำหนด 10 ยก เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2538 และในปีถัดมาเขาก็ชิงแชมป์จูเนียร์ฟลายเวต WBF ที่ว่างมาครองด้วยการชนะคะแนน รดี้ อิดาโน่ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2539

เขาป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้ 3 ครั้งก็สละตำแหน่งลดรุ่นกลับลงมาชิงแชมป์มินิมั่มเวต WBC กับยอดมวยเม็กซิกัน ริคาร์โด้ โลเปซ นาวา แต่ก็ทำได้แค่แพ้คะแนนขาดลอย เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2540 ซึ่งมงคลนั้นเป็นนักมวยไทยเพียงรายเดียวที่ชกกับโลเปซแล้วไม่โดนน็อค

เขายังไม่วางนวมไปง่ายๆ และในอีก 2 ปีต่อมาเขาก็ได้ชิงแชมป์ PABA รุ่น 105 ปอนด์ แต่ก็แพ้เท็คนิเกิ้ลโดยคะแนนยก 8 เออร์ดี "เฮอริเคน" ชูลัน นักมวยจากมองโกเลียชวดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ปีถัดมาเขาก็ได้อากาสชิงแชมป์เส้นนี้อีกครั้งกับ เออร์เนสโต่ รูบิญญ่าร์ จากฟิลิปปินส์ และก็เอาชนะน็อคในยกที่ 8 ได้เป็นแชมป์สมใจ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2543

แต่เหมือนมีกรรมมาบัง มงคลประสบปัญหาส่วนตัวจนไม่ซ้อมมวยในที่สุด และไม่ได้ขึ้นชกมวยอีกเลยนับแต่นั้น

(ต้นฉบับภาพประกอบจากนิตยสารโลกกำปั้น)

จักรกริช แอลจียิม



ชื่อนักมวย:
จักรกริช แอลจียิม

ชื่อจริง: สมศักดิ์ พลาผล

วันเดือนปีเกิด: 24 มีนาคม 2517

ภูมิลำเนา: จ. กำแพงเพชร

สถิติ: 6-0-0; 3KO

เกียรติยศ
:
แชมป์จูเนียร์ฟลายเวต WBF (2538)

จักรกริชจัดเป็นแชมป์โลกที่จัดไดว่าอาภัพคนหนึ่งของเมืองไทย เพราะหลังจากชกชนะรวด 5 ครั้ง เขาก็ได้รับการผลักดันให้ชิงแชมป์จูเนียร์ฟลายเวต WBF จาก "ไอ้เสือเผ่น" เฮซุส อัลเบอร์โต้ ชอง นักชกจากเม็กซิโกที่แย่งตำแหน่งไปจาก สายรุ้ง ปัฐวิกรณ์ยิม (อ.สุวรรณศิลป์) เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2538 ชนิดที่ใครๆก็ว่าผู้สนับสนุนใจเร็วมากเกินไป แต่จักรกริชก็ได้รับการชูมือให้ชนะคะแนนไปแบบบอบช้ำได้เป็นแชมป์คนใหม่

อย่างไรก็ตามความบอบช้ำที่ได้รับจากไฟต์ชิงแชมป์โลกนี้ บวกกับอีก 2 เดือนก็ยังขึ้นอุ่นเครื่องชนะคะแนน เบนจามิน เอสโคเบีย ในกำหนด 10 ยก
ทำให้ร่างกายบอบช้ำมากขึ้น แล้วจู่ๆวันหนึ่งจักรกริชก็เกิดอาการวูบขึ้นมาในขณะทำการฟิตซ้อม และแพทย์ตรวจพบว่าเขามีเลือดคั่งในสมองต้องผ่าตัดรักษาด่วนเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ซึ่งหลังจากผ่าตัดจักรกริชก็มีสภาพไม่เหมือนเดิม ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และแขวนนวมเลิกชกมวยไปด้วยวัยเพียง 21 ปี
กับสถิติการชก 6 ไฟต์เท่านั้น

ล่าสุดมีข่าวออกมาว่าขณะนี้เขาตกอยู่ในสภาพที่ร่างกายซีกซ้ายเป็นอัมพาต การเคลื่อนไหวทำได้อย่างเชื่องช้า แขนขาเกร็งขณะเดิน พูดไม่ชัด และตาบอด 2 ข้าง ซึ่งอาศัยอยู่กับพ่อและแม่ที่มีอาชีพทำนาข้าวที่บ้านในจังหวัดกำแพงเพชร และการกีฬาแห่งประเทศไทยกำลังทำเรื่องช่วยเหลืออยู่

(ต้นฉบับภาพประกอบจากนิตยสารโลกกำปั้น)

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เมืองชัย อรทัยยิม



ชื่อนักมวย: เมืองชัย อรทัยยิม

ชื่อจริง: ณัฐวุฒิ จันทรวิมล

วันเดือนปีเกิด:
11 พฤสจิกายน 2511

ภูมิลำเนา:
จ. ชัยนาท

สถิติ:
25-4-0; 17KO

เกียรติยศ
:
แชมป์จูเนียร์ฟลายเวต IBF (2532-2533)
แชมป์ฟลายเวต WBC
(2534-2535)

ไอ้จก เมืองชัยขึ้นชกมวยสากลอาชีพชนะรวด 6 ไฟต์ก็ได้โอกาสขึ้นชิงแชมป์จูเนียร์ฟลายเวต IBF กับเจ้าของตำแหน่งชาวฟิลิปปินส์ เทรซี่ มาคาร์ลอส และเมืองชัยก็เป็นฝ่ายเอาชนะคะแนนไปได้แบบไม่เป็นเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2532 ที่เวทีลุมพินี คว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ แต่ทางอดีตแชมป์ชาวฟิลิปปินส์ยื่นประท้วงขอรีแมทช์ใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ ไอ้จกเป็นฝ่ายถลุงล้วงท้องมาคาร์ลอสจนโงหัวไม่ขึ้น เดินหันหลังกลับเข้ามุมพ่าย TKO ไปในยกที่ 7 อย่างบอบช้ำ ทั้งที่คะแนนจากกรรมการ 2 ท่านยังให้มาคาร์ลอสนำอยู่เลย

เมืองชัยป้องกันแชมป์เอาไว้ได้ 3 ไฟต์ โดยทุกไฟต์ล้วนขึ้นชกที่เวทีลุมพินีทั้งสิ้น ก่อนที่จะเดินทางไปพ่าย TKO7 เสียแชมป์ให้กับ ทารกเงินล้าน ไมเคิล คาร์บาฮาล เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2533 ที่เมืองฟีนิกซ์ ชนิดล้มแล้วล้มอีก 4 นับ แต่ไม่ยอมถูกนับ 10

เมืองชัยกลับมาอุ่นเครื่อง 2 ครั้งในสีเสื้อ "อรทัยยิม" ก็ท้าชนนักชกรุ่นพี่อย่าง สด จิตรลดา และเมืองชัยก็ถล่มเอาสดพ่าย
TKO6 ชิงแชมป์ฟลายเวต WBC มาครองได้เป็นตำแหน่งที่ 2 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2534 และการป้องกันแชมป์ครั้งแรกเมืองชัยก็ทำเอาคนไทยหัวใจแทบวาย เมื่อก ชาง จุง คู อดีตแชมป์ไลต์ฟลายเวต WBC ต่อยหล่นถึง 3 นับ แต่กลับมาพลิกสถานการณ์น็อค ชาง จุง คู ลงได้ในยกสุดท้าย ขณะเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งนาทีก็จะหมดยก

ไอ้จกป้องกันแชมป์ได้ 3 ครั้ง รวมทั้งย้ำแค้นเอาชนะ TKO9 สดได้อีกครั้ง ก่อนจะเดินทางไปแพ้ KO8 ยูริ อาร์บาชาคอฟ มวยรัสเซียที่ญี่ปุ่นเอามาสร้าง เสียแชมป์ไปเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2535 อย่างไรก็ตามยูริยอมมาเมืองไทยให้เมืองชัยแก้มือ แต่เมืองชัยก็ถูกถล่มพ่าย TKO9 ชิงแชมป์คืนไม่สำเร็จคาบ้านเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2536


เมืองชัยวางนวมไป 2 ปีก็กลับมาภาค 2 ชนะรวด 3 ไฟต์ ก่อนจะหยุดชกไปอีก 3 ปี และกลับมาภาค 3 บินไปถูกชิเกรุ นากาซาโตะ ถลุงพ่าย
TKO4 ที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2542 ก่อนจะวางนวมไปถาวร

ปัจจุบันเมืองชัย
เปิดเต็นท์รถจำหน่ายรถมือสองทั้งยุโรปและญี่ปุ่น สภาพดี ราคาย่อมเยาว์ ที่ชื่อว่า
ศูนย์รวมรถยนต์ธนบัตรชัย ถ.กาญจนาภิเษก แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม. 10170 ต่อรองกันได้ อยู่ก่อนถึงเดอะมอลล์บางแค 500 เมตร ถ้าใครสนใจโทรไปได้ที่เบอร์ 0-2866-2425, 0-1694-9977, และ 0-6899-3992 นอกจากนี้ยังมีคิวเล่นหนังเล่นละครบ้างประปราย

(ต้นฉบับภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์ข่าวสดฉบับออนไลน์)

สงคราม ป.เปาอินทร์



ชื่อนักมวย: สงคราม ป.เปาอินทร์

ชื่อจริง: มนัสนันท์ หรือ ค้ำ หมดมา

วันเดือนปีเกิด
: 25 มีนาคม 2509

ภูมิลำเนา:
จ.เพชรบูรณ์

สถิติ:
23-5-2; 11KO

เกียรติยศ
:
แชมป์มินิมั่มเวต
PABA (2540-2542)
แชมป์มินิมั่มเวตเฉพาะกาล WBA (2542)

สงครามเป็นคู่แฝดกับ ชนะ ป.เปาอินทร์ อดีตแชมป์มินิมั่มเวต WBA 2 สมัย หลังจากที่สงครามประสบความสำเร็จในเชิงมวยไทย ได้คาดเข็มขัดแชมป์มวยไทยรุ่นจูเนียร์ฟลายเวตเวทีราชดำเนิน ถึง 5 สมัยด้วยกัน โดยมีสถิติการชกกว่า 100 ไฟต์ และในช่วง 3-4 ปีหลังเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของเขาก็ว่าได้ เพราะมีรายได้จากค่าตัวเฉลี่ยถึงนัดละ 6 หมื่นบาท (แบ่งครึ่งกับหัวหน้าค่าย) และมีคิวชกเฉลี่ยปีละ 7-10 นัด เมื่อร้างลาเชิงมวยไทย "แชแม้" นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ ก็นำมาขัดเกลาต่อยมวยสากลตามพี่ชาย โดยหวังที่จะสร้างแชมป์โลกคู่แฝดเป็นคู่ที่ 2 ต่อจาก เขาทราย-เขาค้อ แกแล็คซี่ โดยมีค่าเหนื่อยสำหรับการชกในนัดอุ่นเครื่องนัดละ 4 หมื่นบาท และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามสถิติการชก (แบ่งครึ่งกับหัวหน้าค่าย) สงครามชกอุ่นเครื่องกับนักชกต่างประเทศทั้งสิ้น 16 ไฟต์ ก่อนจะสบโอกาสขึ้นชิงแชมป์มินิมั่มเวต WBA ครั้งแรกแพ้ TKO 11 โรแซนโด้ อัลวาเรซ แชมป์โลกจากนิการากัวไปอย่างน่าเสียดายที่จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2540

อย่างไรก็ตามปลายปีเดียวกันนั้นเขาก็ได้ครองแชมป์มินิมั่มเวต PABA หลังจากเพียรพยายามชิงตำแหน่งถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเสมอทางเทคนิคยก 3 แรนดี้ แมนกูบัท และครั้งที่ 2 ชนะคะแนนทางเทคนิคยก 5 คู่ชกคนเดิม เมื่อ 21 ธันวาคม 2540 เขาขึ้นป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้ 1 ครั้งก็ได้รับโอกาสชิงแชมป์มินิมั่มเวต WBA อีกครั้งในวันที่ 30 มกราคม 2542 ซึ่งตอนแรกทาง WBA ประกาศว่าเป็นการชิงแชมป์เส้นจริง แต่ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นการชิงแชมป์เฉพาะกาลที่ว่างเท่านั้น ซึ่งสงครามก็เอาชนะเทคนิเกิ้ลโดยคะแนนในยกที่ 8 เหนือต่อ "ไอ้หัวกระโหลกไขว้" รอนนี่ มากราโม่ นักชกฟิลิปปินส์ แบบไม่เป็นเอกฉันท์ได้ครองแชมป์แบบตัวเองถูกหัวชนแตกเละ อย่างไรก็ตามอีกแค่ไม่ถึง 4 เดือนสงครามได้ไปแพ้คะแนน ฮิโรชิ มัตสุโมโตะ ในการชกนอกรอบที่ญี่ปุ่นโดยไม่แจ้งให้สถาบันทราบ ทำให้สมาคมมวยโลกไม่พอใจและปลดสงครามในที่สุด ส่งผลให้เขาเป็นนักชกไทยคนแรกที่ได้แชมป์มาแล้วถูกปลดโดยที่ยังไม่ทันได้ขึ้นป้องกันตำแหน่งแม้แต่ครั้งเดียว

และเป็นเวลาเดียวกันกับที่สงครามกำลังผิดหวังกับความรักกับภรรยาสาวบุรีรัมย์ เพราะเขาถูกภรรยาทอดทิ้งโดยเอาทรัพย์สินของมีค่าไปหมด จนทั้งเนื้อตัวตอนนั้นเขามีเงินติดตัวเพียงแค่ 5 บาทเท่านั้น ทำให้สงครามถึงกับลาบวชพระอยู่ที่วัด อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ ได้ประมาณ 4 เดือน เมื่อจิตใจกลับคืนมาดังเดิมสงครามจึงพยายามกลับมาต่อยมวยอีกหลายครั้งแต่ก็แพ้บ้างชนะบ้าง ล่าสุดสงครามไปชกแพ้คะแนนไม่เป็นเอกฉันท์ให้กับ คาสึนาริ ทาคายาม่า ที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2545 (ต่อมาทาคายาม่าได้เป็นแชมป์มินิมั่มเวต WBC) ได้เงินมาไม่เท่าไหร่และจากนั้นเขาก็ไม่ได้ขึ้นชกมวยอีกเลย เพราะเบื่อวงการ ก่อนบินกลับมาบวชเป็นพระอีกรอบอยู่ที่วัดเขาสมโภชน์ จ.ลพบุรี

เมื่อครั้งแขวนนวมรอบแรก สงครามที่มีความรู้เพียงแค่จบ ป. 6 ก็เลยต้องร่อนเร่ทำงานหาเลี้ยงตัวเอง เคยไปรับจ้างขนเสื้อผ้าที่ตลาดโบ๊เบ๊ ขายซีดีที่ตลาดคลองถม ทำงานที่โรงงานปั๊มเหรียญและพระที่คลองถม และที่นี่สงครามก็ได้พบรักใหม่กับภรรยาคนปัจจุบันที่มีอายุมากกว่าถึง 7 ปี "จอมขวัญ หมดมา" ซึ่งปัจจุบันนี้มีบุตรชายด้วยกัน 1 คน อายุขวบเศษชื่อว่า "เรืองโรจน์ หมดมา" และต่อมาเขาก็ได้ทำงานปันกงานดูแลร้านและดูแลรถยนต์ 13 เหรียญ สาขาบางใหญ่ ด้วยความช่วยเหลือจาก พล.ต.ต.ประจวบ เปาอินทร์ และเช่าห้องอาศัยอยู่ใกล้ค่าย ป.เปาอินทร์คนเดียว โดยต้องเข้างานตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงตี 4 ทุกวัน ได้เงินค่าจ้างวันละ 300 กว่าบาท (ตกเดือนละ 1 หมื่นบาท) และทิปจากแขกเล็กน้อย และจะไปหาลูกและภรรยาที่บ้านทุกวันจันทร์ซึ่งเป็นวันหยุด โดยเมื่อรวมรายได้ของเขากับภรรยาที่ได้ค่าจ้างประมาณ 8000 บาทต่อเดือน เขาก็จะมีรายได้ทั้งหมดประมาณ 2 หมื่นบาทต่อเดือน แต่เพราะว่ายังต้องจ่ายค่าหนี้สินและเลี้ยงดูลูกวัยกำลังโต และยังมีภรรยาคนที่ 2 อีกคนที่เข้ามาในชีวิต จึงทำให้ชีวิตวันนี้ของสงครามจึงต้องลำบากสักหน่อย แต่เขาก็จะสู้ชีวิตต่อไป

ล่าสุดสงครามได้พาภรรยาคนที่ 2 เข้าพบ พ.ต.อ. สุรัศม์ อุดมรัตน์ เพื่อของานทำ แต่กลับตกเป็นข่าวใหญ่โตว่าตนเองกำลังขัดสนหนักด้วยความเข้าใจผิด อย่างไรก็ตามสงครามก็ได้รับการติดต่อให้ช่วยเป็นวิทยากรในแผนกสงเคราะห์และคุ้มครอง เพื่อให้ความรู้แก่เยาวชนถึงศิลปะป้องกันตัว นอกจากนี้ พ.ต.อ. สุรัศม์จะหารือกับผู้บังคับบัญชา เพื่อให้บรรจุเป็นลูกจ้าง หรือนักการทำงานประจำต่อไป ส่วนภรรยาคนที่ 2 จะฝากให้ทำงานที่ร้านขายโทรศัพท์ต่อไป

(เนื้อหาบางส่วนจาก "สู้ชีวิตไปกับ สงคราม ป.เปาอินทร์ "สูงสุดคืนสู่สามัญ"" โดย ทีมข่าวมวยสยาม นสพ.มวยสยาม ทูเดย์ ปีที่ 12 ฉบับที่ 4253 วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2548, "แชมป์โลกตกอับ! "สงคราม" เด็กรับรถ" นสพ.ข่าวสด ปีที่ 15 ฉบับที่ 5416 วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2548, "ผ่าชีวิต สงคราม ป.เปาอินทร์ "หมาไล่เนื้อ" หรือ "ไม่ประมาณตน"" โดย ทีมข่าวมวยสยาม นสพ.มวยสยาม ทูเดย์ ปีที่ 13 ฉบับที่ 4394 วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2548, ต้นฉบับภาพประกอบจากนิตยสารมวยโลก)

นภา เกียรติวันชัย



ชื่อนักมวย:
นภา เกียรติวันชัย

ชื่อจริง:
สุวิทย์ แซ่ตั้ง

วันเดือนปีเกิด:
27 กรกฎาคม 2510

ภูมิลำเนา:
นครราชสีมา

สถิติ:
16-8-1; 8KO

เกียรติยศ:
แชมป์สตรอว์เวต (มินิมั่มเวต) WBC International (2531)
แชมป์สตรอว์เวต (มินิมั่มเวต) WBC (2531-2532)


นภาเป็นอดีตนักมวไทยเก่านามว่า โชคชัยจิ๋ว ณ พัทยา เขาขึ้นชกมวยสากลอาชีพชนพรวด 3 ครั้งก็ได้ชิงแชมป์สตรอว์เวต WBC International ที่ว่างกับอดีตแชมป์มินิฟลายเวต IBF ชาวอิเหนา นิโก้ โธมัส เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2531 และก็เอาชนะคะแนนไป 2 ต่อ 1 เสียง ได้ครองแชมป์นานาชาติเส้นแรก หลังจากนั้นนภาขึ้นป้องกันแชมป์ได้ 1 ไฟต์ ก็ได้รับโอกาสในการชิงแชมป์โลกด้วยสิทธิ์แชมป์เงาเป็นคนแรกของไทย โดยนภาต้องบินไปชิงแชมป์กับทาง ฮิโรกิ อิโอกะ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ปีเดียวกัน โดยไฟต์นี้นภาไล่ต่อยแชมป์โลกชาวญี่ปุ่นจนเป๋ไปเป๋มา และก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อมีมือมืดดอดไปตีระฆังหมดยกสุดท้ายก่อนเวลาจริงถึงกว่า 30 วินาที และเมื่อรวมคะแนนทั้งคู่ก็เสมอกันไปในที่สุดแบบชาตินิยม ดังนั้นทาง WBC จึงสั่งให้ทั้งคู่ชกกันใหม่อีกหน เมื่อวันที่ 13 พ.ย.ปีเดียวกัน และคราวนี้นภาก็สามารถเอาชนะคะแนนด้วยเสียงข้างมากได้ครองแชมป์โลกสมใจ นภาป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้ 2 ครั้ง โดย 1 ในนั้นเป็นการย้ำแค้นอิโอะด้วยกาชนะ TKO11 อย่างงดงาม

นภาเสียแชมป์ในการป้องกันตำแหน่งครั้งต่อมาด้วยการพ่าย
TKO12 จุม ฮวาน แช ที่เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2532
อย่างไรก็ตามนภายังได้โอกาสชิงแชมป์เส้นนี้อีกครั้งหนึ่งกับเจ้าของตำแหน่งชาวญี่ปุ่นคนใหม่ ฮิเดยูกิ โอฮาชิ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2533 ที่โตเกียว แต่ก็ชิงไม่สำเร็จพ่ายคะแนนไปแบบหมดลุ้น

นภาทำฟอร์มอุ่นเครื่องชนะรวด 3 ไฟต์ ก่อนได้บินไปชิงแชมป์ไลต์ฟลายเวต
WBC กับ "ยักษ์แคระ" ฮุมเบอร์โต้ กอนซาเลซ ที่สหรัฐอเมริกา แต่ "ไอ้จิ๋ว" ก็ตกเป็นฝ่ายแพ้ KO2 ไปเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2535 และ "ไอ้จิ๋ว" ก็ดวงตกสุดขีดเมื่ออีก 2 เดือนต่อมาก็ถูก อลา วิลลามอร์ ถลุงแพ้ KO2
ที่โตเกียว ทำให้นภาต้องวางนวมไปเป็นนักร้องคาเฟ่อยู่ร่วม 4 ปี

นภากลับมาอีกครั้งในปี 2539 ขึ้นชกชนะเต็มกลืนครั้งเดียว จึงต้องแขนวนวมไปอีกรอบ อย่างก็ตามนภายังได้โอกาสบินไปชกหาเงินใช้ที่ญี่ปุ่นอีก 4 ไฟต์ ในปี 2540, 2542, และ 2543 และก็แพ้รวดทั้ง 4 ครั้ง โดยเป็นการแพ้น็อคถึง 3 ครั้งด้วยกัน

ปัจจุบันนภาก็ยังร้องเพลงเป็นอาชีพหลักอยู่เหมือนเดิม

(ต้นฉบับภาพประกอบจากนิตยสารมวยโลก)

เขาค้อ แกแล็คซี่



ชื่อนักมวย: เขาค้อ แกแล็คซี่

ชื่อจริง:
วิโรจน์ (นิโรจน์) แสนคำ

วันเดือนปีเกิด:
15 พฤษภาคม 2502

ภูมิลำเนา:
จ.
เพชรบูรณ์

สถิติ:
24-2-0; 18KO

เกียรติยศ:

แชมป์แบนตั้มเวตเวทีราชดำเนิน (2529-2531)
แชมป์แบนตั้มเวต WBA (2531, 2532)

ชื่อจริงของเขาค้อ คือ "นิโรจน์ แสนคำ" ที่เกิดวันเดียวกัน แต่ต่างเวลากับคู่แฝด "สุระ แสนคำ"- เขาทราย แกแล็คซี่ แชมป์จูเนียร์แบนตั้มเวต WBA เมื่อ 15 พฤษภาคม 2502 ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ แม้ว่าจะเกิดทีหลังแต่เขาค้อก็ได้รับการเรียกขานว่าเป็นแฝดผู้พี่ของเขาทรายตามธรรมเนียมไทย เขาค้อมีสถิติการชก (สากล) 26 ครั้งแพ้เพียง 2 ครั้ง

ได้รับการสนับสนุนจาก "แชแม้" นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ จนประสบความสำเร็จได้เป็นแชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวตสมัยแรกโดยการเอาชนะคะแนน วิลเฟรโด้ วาสเควซ แชมป์แบนตั้มเวต WBA ชาวเวเนซูเอล่าแบบไม่เป็นเอกฉันท์ที่หัวหมาก เมื่อ 9 พ.ค. 2531 เขาค้อครองตำแหน่งแชมป์และสร้างสถิติเป็นแชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวตคนแรกของไทย และเป็นแชมป์โลกฝาแฝดคู่แรกของโลกร่วมกับเขาทรายที่ครองตำแหน่งในเวลาเดียวกัน เขาค้อครองแชมป์อยู่ได้ไม่กี่เดือนก็ต้องเสียแชมป์ให้กับนัชกเกาหลี มูน ซัง กิล โดยแพ้คะแนนทางเทคนิคในยกที่ 6 เพราะ "ไอ้ผมม้า" แตกชกต่อไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นการแตกจากการต่อยก็ตาม เพราะทางเกาหลีหาว่าเขาค้อใช้หัวชน เมื่อ 14 ส.ค.ในปีเดียวกันที่เกาหลี อย่างไรก็ตามปีต่อมาเมื่อได้ชิงแชมป์คืนเขาค้อก็ถล่มเอา "ไอ้ผมม้า" เละเทะและได้นับ 2 ครั้งในยกที่ 11 ก็จะชนะคะแนนขาดลอยได้เป็นแชมป์แบนตั้มเวต WBA สมัยที่ 2 เมื่อ 9 ก.ค. 32 แต่พอป้องกันหนต่อมาก็เสียตำแหน่งให้ ลุยสิโต้ เอสปิโนซ่า อย่างสุดพิสดาร เพราะแค่การป้องกันแชมป์ครังแรกก็ถูกโรควูบถามหา เพราะถูกหมัดของผู้ท้าชิงชาวฟิลิปปินส์ นานร่วม 30 วินาทีแล้วจึงหงายหลังคาเชือกพ่ายน็อคไปแบบตกตะลึงกันทั้งสนามแค่ยกแรกเท่านั้น

"จอมวูบ" จึงป็นฉายาเชิงลบที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติกับ "เขาค้อ แกแล็คซี่"
บนเวทีราชดำเนินในไฟต์ป้องกันแชมป์โลก WBA (สมัยที่ 2) เพราะแพ้น็อก ลุยสิโต้ เอสปิโนซ่า ผู้ท้าชิงจากฟิลิปปินส์ ในชั่วเวลาเพียง 2 นาที 13 วินาทีของยกแรก เมื่อ 19 ตุลาคม 2532 ชนิดสุดพิสดารเหลือเชื่อ?

เพราะในเสี้ยววินาทีที่เขาค้อโดนหมัดซ้ายผู้ท้าชิงเข้าที่ลำตัวแล้วตวัดขึ้นทุบบ้องหูอีกหมัดหนึ่งนั้น ดูว่าไม่รุนแรงนัก เพราะเขาค้อไม่ได้ออกอาการอะไรเลย ซ้ำยังขยับเข้าหาคู่ต่อสู้ขณะยกนวมขึ้นลูบหน้าตัวเองคล้ายจะปัดอะไรบางอย่าง แสดงว่าพร้อมที่จะสู้ต่อ..

แต่ทันใดนั้น ร่างเขาค้อก็โงนเงนหงายหลังลงหัวพาดเชือกเส้นล่างสุด ตาค้าง ขากรรไกรแข็ง แล้ววูบไปเฉยๆ ประสาททุกส่วนไม่ยอมรับรู้สิ่งใดอีก
ท่ามกลางความตกตะลึงของคนดูที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?

เขาค้อจึงแพ้น็อคผู้ท้าชิงไปอย่างแปลกประหลาดน่าพิศวงยิ่ง ???

จากนั้นเสียงวิพากษ์ต่างๆก็ตามมา เขาค้อเป็นลม? เขาค้อโดนยาสลบจากนวมคู่ต่อสู้? เขาค้อถูกของ? โดนเวทมนตร์ลึกลับเล่นงาน?
เขาค้อมีโรคประจำตัวหรือบกพร่องทางสรีระ? แม้กระทั่งที่หาว่าเขาค้อล้มมวยก็มี

แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาค้อ แกแล็คซี่-"แฝดพี่" ก็เสียแชมป์โลกแบนตั้มเวตเป็นครั้งที่ 2 ในชั่วเวลากะพริบตาไปแล้วจริงๆ

ฉะนี้แล้ว จะยังมีฉายาใดอีกเล่าที่คู่ควรกับเขา(ค้อ)ยิ่งไปกว่า "จอมวูบ"??

เขาค้อ แกแล็คซี่ เป็นนักมวยไทยคนแรกที่ล้างอาถรรพณ์คว้าแชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวตมาครองได้สำเร็จ แต่แล้วเขาก็โดนอาถรรพณ์ล้างเอาบ้าง
เพราะครองตำแหน่งสมัยที่สองอยู่เพียง 3 เดือน เข็มขัดแชมป์โลกก็หลุดลอยไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แม้ว่าจะได้พยายามฟิตซ้อมหวังจะกลับมาอีก แต่เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำได้รับบาดเจ็บ หมอตรวจเช็คร่างกายทุกส่วนแล้วระบุว่าต้องเลิกชกมวยโดยเด็ดขาด จึงต้องแขวนนวมเมื่ออายุ 30 ปีพอดี

เลิกมวยแล้ว แม้ไม่ร่ำรวยระดับ "เสี่ย" อย่าง "เขาทราย" แต่เขาค้อก็พอมีเงินเก็บจากการชกมวยพอตั้งตัวได้
ทุกวันนี้ทราบว่าเดินตามเขาทรายไปตามโรงถ่ายหนังถ่ายละคร โดยเขาทรายเป็นคนผลักดันให้ได้แสดงบทตัวประกอบตามที่ผู้กำกับกำหนดให้ โดยไม่กลับมาชกมวยอีกเลย

ต่อมา เขาค้อกลับคืนวงการมวยอีกครั้ง ด้วยการเป็นเทรนเนอร์ให้กับ แซมซั่น ส.สิริพร แชมป์ไลต์ฟลายเวต WBC Female ที่เป็นแชมป์โลกมวยหญิงคนแรกของเมืองไทย แต่ก็เทรนกันได้แค่เพียงไฟต์เดียวเท่านั้น

(เรียบเรียงเพิ่มเติมจากเรื่อง "จอมวูบ "เขาค้อ แกแล็คซี่" ผู้ล้างอาถรรพณ์และถูกอาถรรพณ์ล้าง" คอลัมน์ ฉายาชาวยุทธ์ โดย สว่าง สวางควัฒน์ หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับที่ 5137 วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2547 ปีที่ 14, ต้นฉบับภาประกอบจากนิตยสารมวยโลก)

พิชิต ศิษย์บางพระจันทร์



ชื่อนักมวย: พิชิต ศิษย์บางพระจันทร์

ชื่อจริง: ุภาพ หาญวิชาชัย

วันเดือนปีเกิด:
15 มกราคม 2509

ภูมิลำเนา:
อ. จตุรัส, จ. ชัยภูมิ

สถิติ:
24-0-0; 18KO

เกียรติยศ
:
แชมป์ฟลายเวต
IBF (2535-2537)

พิชิตเป็นนักมวยที่จัดว่ามีหมัดสั่งได้รายหนึ่ง แม้ว่าเชิงชกจะไม่สวยงามแต่หมัดของเขาในช่วงรุ่งๆใครโดนเป็นต้องลง ดังเนื้อเพลงประจำตัวของเขาที่ทางทีมงานดัดแปลงเพลงของ จำเริญ ทรงกิจรัตน์ นักมวยรุ่นพ่อที่ร้องว่า "เด็กไทยนิสัยดี พิชิต ศิษย์บางพระจันทร์ ไอ้หมัดผีสิง พิชิต ศิษย์บางพระจันทร์ ซ้ายถลา ขวาถล่ม เสยซอยหมัดคม โดนคางใครเป็นลม หลับระบบถึงรากฟัน" เป็นตัวอย่างอันดี

พิชิตหอบสถิติชนะรวด
14 ครั้ง (12KO) ขึ้นชิงแชมป์ฟลายเวต IBF กับ โรดอลโฟ่ บลังโก้ เจ้าของตำแหน่งชาวโคลอมเบียที่สมุทรปราการในยามที่ไทยปลอดแชมป์โลก และเขาก็ไม่ทำให้ชาวไทยผิดหวังส่งเอาบลังโก้พ่ายน็อคไปแค่ยกที่ 3 ขึ้นเป็นแชมป์โลกอย่างสง่าผ่าเผย เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2535


เขาป้องกันตำแหน่งชนะรวด
5 ครั้ง แต่ 2 ครั้งหลังสุดเขาทำได้เพียงชนะคะแนนเต็มกลืน และส่ออาการเพี้ยนชนิดที่เจ้าตัวบอกว่าถูกคุณไสยเล่นงาน ทำให้ทางโปรโมเตอร์ทรงชัยจำต้องให้พิชิตประกาศสละตำแหน่งไปในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2537 ที่รัฐสภา

อย่างไรก็ตามพิชิตกลับมาอีก
2 ภาค แต่ก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเด่นอะไรได้มากนัก แม้ว่าจะชนะทุกครั้งก็ตามและในที่สุดเขาก็แขวนนวมถาวรไปในปี 2543 นั่นเอง

ล่าสุดพิชิตเดินทางไปเป็นเทรนเนอร์ที่ค่าย "อิโอขะ ยิม" ได้ หลายปีแล้ว ยังไม่ทราบว่ากลับมาเมืองไทยแล้วหรือยัง

(ต้นฉบับภาพประกอบจากนิตยสารโลกกำปั้น)

รัตนพล ก่อเกียรติยิม



ชื่อนักมวย: รัตนพล ก่อเกียรติยิม

ชื่อจริง:
ปรีชา จรัลธาดา (นุชา โพธิ์ทอง)

วันเดือนปีเกิด:
6 มิถุนายน 2517

ภูมิลำเนา:
อ. ด่านขุนทด, จ. นครราชสีมา

สถิติ:
56-6-1; 45KO

เกียรติยศ
:
แชมป์มินิฟลายเวต IBF Intercontinental (2535)
แชมป์มินิฟลายเวต IBF (2535-2539, 2539-2540)
แชมป์ฟลายเวต PABA (2
550-ปัจจุบัน)

รัตนพลเป็นเจ้าของวลี "ไชโย ไชโย ย่าโมออกศึก" ที่สร้างความฮึกเหิมให้กับตัวเองและเพื่อนร่วมชาติทุกครั้งที่เขาขึ้นชก เขาเป็นแชมป์เงาอีกคนที่ได้ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบแชมป์โลกตัวจริงของไทยเรา

รัตนพลได้ครองแชมป์มินิฟลายเวต
IBF Intercontinental เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2535 ด้วยการชนะ TKO4 ฮุสนี่ เรย์ แชมป์จากอินโดนีเซีย และป้องกันตำแหน่งเอาวได้ 1 ครั้งก่อนที่จะสละตำแหน่งไปชิงแชมป์โลกในเวลาต่อมาอีกไม่กี่เดือน


รัตนพลชิงแชมป์มินิฟลายเวต
IBF มาครองได้ด้วยการเอาชนะคะแนน แมนนี่ เมลชอร์ แชมป์ชาวฟิลิปปินส์อย่างไม่เป็นเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2535 เขาป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้ 12 ครั้งก่อนที่จะเสียเข็มขัดบนตาชั่งเพราะชั่งน้ำหนักไม่ผ่าน แต่เขาก็ยังเอาชนะ TKO 11 ลี มาร์วิน ซานโดวัล และรักษาสิทธิ์ในการชิงแชมป์ที่ว่างลงเอาไว้ได้

รัตนพลกลับมาเป็นแชมป์สมัยที่
2 ด้วยการเอาชนะคะแนน จูน อาร์ลอส คู่ชิงแชมป์ว่างชาวฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2539 ก่อนที่จะป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้อีก 6 ครั้งก่อนจะพลาดแพ้ TKO 5 ให้กับ โซลานี่ เปเตโล่ จากแอฟริกาใต้เสียแชมป์ไปแบบพลิกล็อคเพราะกินยาขับปัสสาวะลดน้ำหนักมากเกินไป เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2540

รัตนพลพยายามกลับมาใหม่อีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ แพ้คะแนนนักมวยสหรัฐ วิลล์ กริ๊กส์บี้ย์ ชิงแชมป์จูเนียร์ฟลายเวต
IBF ที่ว่างไม่สำเร็จที่อเมริกา เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2541 หลังจากนั้นยังแพ้น็อค ยูรา ดิม่าร์ ชิงแชมป์ไลต์ฟลายเวต PABA ที่ว่างไม่ได้อีก เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2542 ก่อนที่ไฟต์สุดท้ายจะไปแพ้ TKO 3 ให้กับยอดแชมป์ชาวจังโก้ ริคาร์โด้ โลเปซ ชิงแชมป์จูเนียร์ฟลายเวต IBF ไม่สำเร็จอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2543 จากนั้นประกาศแขวนนวมเปิดร้านขายบะหมี่แชมป์โลกอยู่แถวย่านบางโพ เชิญอุดหนุนกันได้

รัตนพลกลับมาชกมวยอีกครั้งร่วมรายการน้องชายป้องกันแชมป์ครั้งแรกในสีเสื้อใหม่ "ก่อเกียรติยิม" โดยมอบกิจการร้านบะหมี่ให้ภรรยาทำแทน และสามารถเอาชนะคะแนน
6
ยก อเล็กซานเดอร์ บีเอส (โบกี้) ไปแบบไม่สวยเท่าไหร่ และหลังจากนั้นก็ขึ้นชกชนะน็อครวดอีก 3 ครั้ง ซึ่งรวมทั้งโบกี้ คู่ชกรายแรกในภาคล่าสุดของเขาด้วย

ปี 2549 รัตนพลขึ้นชกไปแล้ว
4 ครั้ง ชนะน็อคและคะแนนอย่างละ 2 ครั้ง ส่วนปี 2550 ก็ชนะน็อค
5 ไฟต์รวด จนได้ขึ้นชิงแชมป์ฟลายเวต PABA ที่ว่าง ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 กับ อัลวี่ อัลฮับซี่ นักชกอินโดนีเซีย และก็ไม่ผิดหวังเมื่อคว่ำคู่ชิงเพียงแค่ 45 วินาทีของยกแรกคว้าแชมป์มาครองได้งดงาม

ปี 2551 รัตนพลขึ้นชกป้องกันแชมป์ PABA ชนะน็อครวดไปแล้ว 4 ครั้ง จนขณะนี้อันดับโลกรุ่นฟลายเวต WBA ทะยานขึ้นสู่ท๊อปเทนแล้ว


(ต้นฉบับภาพประกอบจากคุณ Kidman แสกนส่งมาให้)

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ฟ้าลั่น กระทิงแดงยิม



ชื่อนักมวย: ฟ้าลั่น กระทิงแดงยิม

ชื่อจริง:
ธงชัย อุทัยดา

วันเดือนปีเกิด:
10 เมษายน 2511

ภูมิลำเนา:
จ. มหาสารคาม

สถิติ:
54-4-3
; 23KO

เกียรติยศ
:
แชมป์มินิฟลายเวตประเทศไทย (วทีราชดำเนิน) (2532-2533)
แชมป์มินิฟลายเวต
IBF (2533-2535)
แชมป์ฟลายเวต
WBF (2537-2543)
แชมป์จูเนียร์ฟลายเวต IBF Pan Pacific (2545-47)


ฟ้าลั่นเป็นนักชกอีกรายหนึ่งที่ได้ฉายาว่า "แชมป์โลกจอมอาภัพ" เมื่อครั้งสมัยยังใช้สีเสื้อลูกมิ่งขวัญ เขาชิงแชมป์มินิฟลายเวต IBF มาครองได้ด้วยการเอาชนะ TKO ยก 7 อีริค ชาเวซ แชมป์โลกจากฟิลิปปินส์ จากนั้นป้องกันตำแหน่งได้ 7 ครั้ง ก่อนจะเสียแชมป์ไปแบบพลิกล็อคด้วยการแพ้คะแนนไม่เป็นเอกฉันท์ให้กับนักชกตากาล๊อก แมนนี่ เมลชอร์ หลังจากเสียแชมป์ฟ้าลั่นได้ย้ายค่ายมาอยู่ค่ายศักดิ์กรีรินทร์และได้ชิงแชมป์ฟลายเวต WBF ที่ว่างกับ คารซิเมอร์ ทโชลาคอฟ จากบัลแกเรีย และเป็นฝ่ายเอาชนะคะแนนได้ครองแชมป์สมใจ ฟ้าลั่นครองแชมป์เส้นนี้อยู่ถึง 7 ปี ก่อนที่จะสละตำแหน่งลดรุ่นมาชิงแชมป์จูเนียร์ฟลายเวต WBO แต่ก็พลาดทั้ง 2 ครั้ง อย่างไรก็ตามเขายังไม่หมดความพยายามยังคว้าแชมป์จูเนียร์ฟลายเวต IBF Pan Pacific ที่ว่างมาครองได้อีกด้วยการเอาชนะ TKO ยก 7 ฮูลิโอ เดอ ลา บาเสซ จากฟิลิปปินส์ และป้องกันตำแหน่งได้ 5 ครั้ง และมีโอกาสขึ้นชิงแชมป์จูเนียร์ฟลายเวต IBF แต่ก็พลาดแพ้ TKO 6 โฮเซ่ วิคเตอร์ เบร์กอส เจ้าของตำแหน่งชาวอาร์เจนติน่าไปอย่างน่าเสียดาย

ล่าสุดเขาได้ขึ้นชิงแชมป์มินิฟลายเวต IBF ที่เคยครองเมื่อ 15 ปีที่แล้วอีกครั้งกับ มูฮัมหมัด รัชมาน ในวันที่ 5 เม.ย. 48 ที่อินโดนีเซีย แต่โชคร้ายที่ทั้งคู่ศีรษะโขกกันจนแชมป์โลกแตกชกต่อไม่ได้ จึงเสมอกันไปตามกฎ ทำให้ฟ้าลั่นชวดแชมป์อย่างน่าเสียดาย

ปัจจุบันทราบว่าฟ้าลั่นแขวนนวมไปแล้ว

(ต้นฉบับภาพประกอบจากนิตยสารมวยโลก)

สมุทร ศิษย์นฤพล



ชื่อนักมวย
: สมุทร ศิษย์นฤพล

ชื่อจริง:
ัชรชัย ศรประเสริฐ

วันเดือนปีเกิด:
17 พฤษภาคม 2502

ภูมิลำเนา:
จ. กรุงเทพ

สถิติ:
34-12-2
; 18KO

เกียรติยศ
:
แชมป์มินิฟลายเวตประเทศไทย (เวทีราชดำเนิน) (2528-2529)
แชมป์มินิฟลายเวต OPBF (2529-2530)
แชมป์มินิฟลายเวต
IBF (2530-2532)


สมุทรเป็นนักชกคนแรกที่ได้ฉายาว่า
"แชมป์โลกจอมอาภัพ"

เขาเริ่มชกมวยสากลเมื่อปี 2525 ชนะบ้างแพ้บ้างอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งได้ครองแชมป์มินิฟลายเวตเวทีราชดำเนินเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2528 ด้วยการชนะคะแนน 10 ยก พัฒน์ อ.ยุทธนากร จากนั้นวันที่ 27 มีนาคมปีต่อมาก็ได้โอกาสชิงแชมป์
OPBF รุ่นนี้ที่สถาปนาขึ้นมาใหม่ และก็สามารถเอาชนะคะแนน 12 ยก เหนือต่อ เคนจิ โนะ ถึงกรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 27 เมษายนปีต่อมา

เขาป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้ 4 ครั้งก็ได้ขึ้นชิงแชมป์มินิฟลายเวต
IBF ที่ว่างอยู่ และก็กลายเป็นแชมป์ IBF คนแรกของเมืองไทย โดยชิงตำแหน่งได้ด้วยการชนะ TKO 11 (แตก) เหนือต่อ โดมิงโก้ "พริตตี้ บอย" ลูคัส เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2531 หลังจากนั้นเขาก็ป้องกันในตำแหน่งในเมืองไทย 1 ไฟต์ ก่อนที่จะบินไปเสมอกับ นิโก้ โธมัส ในการป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 2 ที่อินโดนีเซีย และสมุทรก็ต้องไปป้องกันแชมป์ครั้งที่ 3 กับโธมัสอีกครั้งถึงถิ่นอีกหน คราวนี้สมุทรแพ้คะแนนเอกฉันท์เสียแชมป์ไปในที่สุด เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2532 และหลังจากนั้นเขาก็วางนวมไปแบบถาวรและไม่กลับมามาชกมวยอีกเลย

ปัจจุบันสมุทรเป็นข้าราชการทหารบก
พออยู่พอกินไม่ลำบากนัก


(ต้นฉบับภาพประกอบจากคุณ Kidman แสกนส่งมาให้)

ชนะ ป.เปาอินทร์



ชื่อนักมวย: ชนะ ป.เปาอินทร์

ชื่อจริง: ูณ หมดมา

วันเดือนปีเกิด: 25 มีนาคม 2509

ภูมิลำเนา: จ.เพชรบูรณ์

สถิติ: 54-4-4; 19KO

เกียรติยศ
:
แชมป์มินิฟลายเวตประเทศไทย (เวทีราชดำเนิน) (2531)
แชมป์มินิมั่มเวต
WBA (2536-2538, 2544)


ชนะครองแชมป์มินิมั่มเวต WBA สมัยแรกด้วยการชนะคะแนน ฮิเดยูกิ โอฮาชิ ไม่เป็นเอกฉันท์ถึงประเทศญี่ปุ่น เขาป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้ถึง 8 ครั้งด้วยกัน ก่อนที่จะเสียแชมป์โดยแพ้คะแนนไม่เป็นเอกฉันท์ให้กับ โรแซนโด้ อัลวาเรซ ผู้ท้าชิงชาวนิคารากัวคาบ้าน

อย่างไรก็ดีชนะมีโอกาสชิงแชมป์คืนจาก เคอิทาโร่ โฮชิโน่ ในอีก 5 ปีต่อมา และก็สามารถกระชากแชมป์มาได้ด้วยการชนะคะแนนไม่เป็นเอกฉันท์ถึงญี่ปุ่นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามคราวนี้ชนะครองแชมป์เพียงไม่กี่เดือนก็ต้องบินไปเสียแชมป์ให้กับ ยูทากะ นิอิดะ ที่ญี่ปุ่นด้วยการแพ้คะแนนเอกฉันท์

ต่อมาเขาได้โอกาสขึ้นชิงแชมป์เฉพาะกาลรุ่นนี้อีกครั้งที่ว่างแต่ก็แพ้คะแนน ฮวน ลัดาเอต้า คู่ชิงแชมป์จากเวเนซูเอล่าไปแบบค้านสายตาเล็กๆที่บ้านของคู่ชก แต่เขาก็ยังคงได้รับโอกาสให้ขึ้นแก้มืออีกครั้งกับลันดาเอต้าที่เมืองไทย แต่ก็ทำได้แค่เสมอกันไปเท่านั้นชิงแชมป์ไม่สำเร็จ

อย่างไรก็ตามชนะยังหวังที่จะได้ชิงแชมป์โลกอีกครั้งหนึ่งในไม่ช้า และเขาเองก็ได้ขึ้นอุ่นกำปั้นอีก 3 ครั้ง ชนะคะแนน 6 ยก 2 ครั้งกับทำได้แค่เสมอแบบทุลักทุเลในกำหนด 6 ยกกับทาง ร็อคกี้ ฟูเอนเตส อดีตแชมป์มินิฟลายเวตสหพันธ์มวยฟิลิปปินส์ (PBF)

กลางปี 2005 ชนะไปอุ่นเครื่องที่ญี่ปุ่นแพ้คะแนนทางเทคนิคยก 5 ให้กับ จุนอิชิโร่ คาเนดะ อย่างฉิวเฉียด

ปัจจุบันชนะเปิดร้านขายข้าวสารอยู่แถวอำเภอบางใหญ่ จ.นนทบุรี และกิจการของเขาก็พอเลี้ยงตัวเองได้ตามอัตภาพ

ล่าสุดชนะบินไปอุ่นเครื่องกับนักชกญี่ปุ่น คาซึฮิโกะ เลซูมิ และก็ทำได้ดีด้วยการต่อยได้นับ 8 ในยกที่ 3 ก่อนกรรมกาจะรวมคะแนนให้เสมอกับมวยเจ้าถิ่นไปในที่สุด เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2006 จากนั้นก็ไม่ได้ขึ้นชกมวยอีกเลย

สามารถ พยัคฆ์อรุณ



ชื่อนักมวย: สามารถ พยัคฆ์อรุณ

ชื่อจริง: สามารถ ทิพย์ท่าไม้

วันเดือนปีเกิด:
5 ธันวาคม 2505

ภูมิลำเนา:
อ. บางปะกง, จ. ฉะเชิงเทรา

สถิติ:
21-2-0; 12KO

เกียรติยศ:

แชมป์ซูเปอร์แบนตั้มเวต WBC (2529-2530)

บนถนนนักมวยที่ต้องใช้หยาดเหงื่อ หยดเลือด และความเจ็บปวดแลกเงินตรา สามารถ พยัคฆ์อรุณ ศิษย์เอกของ "ครูตุ๊ย" ยอดธง เสนานันท์ ครูมวยชื่อดังแห่งภาคตะวันออกคนนี้คือยอดมวย 2 แบบผู้ประสบความสำเร็จสูงสุด

ในแบบ "มวยไทย" สามารถเป็นแชมป์เวทีลุมพินี 4 รุ่น โดยไม่เคยเสียตำแหน่งให้ใครเลย มีแต่ต้องสละไปเองทั้งสิ้น จนได้รับเลือกเป็นนักมวยอาชีพยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย ประจำปี 2524

แน่นอน สำหรับในเชิงมวยไทย ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา จากการสำรวจตรวจนักมวยไทยยอดเยี่ยมแห่งปี ทุกคนต่างก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย และไม่จำเป็นต้องเตี๊ยมกันว่า จะต้องยกให้ “พยัคฆ์หน้าหยก” สามารถ พยัคฆ์อรุณ ผู้นี้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ด้วยความเป็นอัจฉริยะของ สามารถ นั้น จึงมีส่วนคล้ายคลึงกับ สมรักษ์ คำสิงห์ อย่างยิ่ง ที่ต่างเป็นมวยสุดยอดฝีมือชนิดอาจารย์ต้องเรียก “ป๋า” เพียงแต่ สามารถ มีความโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งในเชิงมวยไทย สามารถดังตั้งแต่วัยเพิ่งพ้นอนุบาล ก็ว่าได้ จนวัยแตกเนื้อหนุ่ม ก็กวาดชัยชนะเป็นว่าเล่น ถล่มมวยดังๆมาราบคาบ ไม่ว่าจะเป็น หนองคาย ศ.ประภัสสร, พฤหัส โล่ห์เงิน, ฉมวกเพชร 5 พลัง, มะเฟือง วีระพล และ กวาดนักชกดังๆในยุคนั้นในรุ่นเดียวกันจนเรียบวุธ ก่อนที่จะชนะ เผด็จศึก พิษณุราชันย์ จนไม่มีคู่ชกต้องเบนเข็มชกมวยสากลอาชีพ ก็ยังได้เป็นแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวตของ สภามวยโลก (WBC) และหลังจากเสียแชมป์แล้ว ก็กลับมาชกมวยไทยชนะรวดอีก 5 ไฟต์ ด้วยการสอนมวย “ไอ้หมัดสากเหล็ก” สำราญศักดิ์ เมืองสุรินทร์, “ขุนเข่าหน้าเปื่อย” นำพล หนองกี่พาหุยุทธ , “ขุนเข่าทะเลคลั่ง” พนมทวนเล็ก 5 พลัง รวมถึง “ไอ้เป็ด” เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง ในการกลับมาชกมวยไทยแค่ปีเดียว สามารถ ก็ได้รับเลือกให้เป็นนักมวยไทยยอดเยี่ยมประจำปี 2531 ไปรับประทานแบบไร้คู่แข่ง หรือถึงจะมีก็ไม่มีความหมาย

สามารถ พยัคฆ์อรุณ จึงถูกจัดให้เป็นสุดยอดมวยอัจฉริยะในบรรณพิภพ อย่างมิต้องคลางแคลงสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

ในช่วงที่ “พยัคฆ์มาด” โรจน์รุ่ง ไม่ว่าในขณะนั้นชกมวยไทยหรือมวยสากลอาชีพ มีคนเคยพูดถึงขนาดว่า ถ้า สามารถ รูปไม่หล่อ แต่หน้าตาดำๆไม่น่าดูอย่าง เปเล่ ไข่มุกดำ แล้วไซร้ เจ้าของเสียงร้อง “น้ำพริกปลาทู” จะเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกก็ยังได้

อย่างไรก็ดี ถึง สามารถ จะหล่อเหมือน จอร์จ เบสต์ ยอดดาวเตะของ แมนฯ ยูฯ การฟิตซ้อมจึงย่อหย่อนลงไป แต่ใครก็ไม่กล้าปฏิเสธว่า ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ถ้าพูดถึงมวยไทย ต้องชูมือให้ สามารถ พยัคฆ์อรุณ หนึ่งเดียวคนนี้

เมื่อหมดตัวชกและเบนเข็มไปสวมรองเท้าชก "สากล" เขาประเดิมการชกมวยสากลอาชีพด้วยการชนะคะแนน 10 ยกอดีตแชมป์โลกอย่าง เนตรน้อย ส.วรสิงห์ จากนั้นเขาก็พัฒนาฝีมือขึ้นตามลำดับกระทั่งได้โอกาสขึ้นชกชิงแชมป์ซูเปอร์แบนตั้มเวต WBC กับแชมป์ชาวเม็กซิโก กัวดาลูเป้ พินเตอร์ ซึ่งตกตาชั่งไปก่อนขึ้นชกจริง แล้วสามารถก็ไม่ทำให้ชาวไทยผิดหวังเมื่อสามารถน็อคพินเตอร์ลงได้ในยกที่ 5 ได้แชมป์มาครองอย่างสวยงามเมื่อ 18 มกราคม 2529

สามารถจัดเป็นนักชกที่มีหน้าตาดีแถมยังมีเชิงชกที่สวยงาม ด้วยเชิงชกที่เหมือนหยอกเอินคู่ต่อสู้ที่ว่าดังๆแห่งยุคเหมือนหนึ่งเป็นมวยเพิ่งหัด ถ้าคุณเคยเห็น สมรักษ์ คำสิงห์ หลอกโยกหลบคู่ต่อสู้ในการชกมวยสากลสมัครเล่น จะต้องบอกก่อนว่าต้นตำรับในการโยกหลบที่แท้จริงก็คือ “พี่มาด” คนนี้ เขาป้องกันตำแหน่งครั้งแรกกับ ฮวน "คิด" เมซ่า จากเม็กซิโกซึ่งในไฟต์นี้สามารถโชว์ลีลาโยกหัวหลบหมัดเมซ่าเกือบ 20 หมัดในยก 12 ก่อนที่จะยิงหมัดเด็ดน็อคเมซ่าไปอย่างงดงาม อย่างไรก็ตามเขากลับพลาดท่าพ่ายน็อค เจฟฟ์ ฟีเน๊ค แห่งออสเตรเลียในยกที่ 4 เสียแชมป์เพราะลดน้ำหนักมากจนหมดแรง เมื่อ 8 พฤษภาคม 2530 ที่ออสเตรเลีย ในไฟต์นั้นสามารถถูกกล่าวหาว่าล้มมวยจนเขาต้องสาบานเพื่อเคลียร์ตัวเองในที่สุด

สามารถหยุดชกไปนาน 5 ปี โดยหันไปเอาดีทางการแสดงและร้องเพลงซึ่งต้องอาศัยรูปร่างหน้าตาเป็นจุดขาย สามารถก็ไปได้ดีไม่แพ้อาชีพค้ากำปั้น เป็นนักร้องศิลปินเดี่ยวก็มีอัลบั้มของตัวเอง เมื่อเป็นคนขายเงาเล่นหนังเล่นละครก็ประสบความสำเร็จในระดับรางวัลตุ๊กตาเงิน-ตุ๊กตาทองเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามเขาได้กลับมาชกมวยอีกครั้งจนสบโอกาสชิงแชมป์เฟเธอร์เวต WBA กับ อีลอย โรฮาส แต่ก็ไปไม่รอดแพ้ TKO ในยกที่ 8 ชิงแชมป์ไม่สำเร็จ และแขวนนวมไปในที่สุด แต่ในภาพรวมสามารถ พยัคฆ์อรุณ ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักชกยอดนิยมคนหนึ่งของเมืองไทย

สำหรับสไตล์การชกนั้นเมื่อชาติชาย เชี่ยวน้อย เป็น "ไฟเตอร์"-มวยเดิน และโผน กิ่งเพชร เป็น "บ๊อกเซอร์"-มวยจังหวะฝีมือ สามารถ พยัคฆ์อรุณ ก็ต้องเป็น "ไฟเซอร์" คือเดินก็ได้ถอยก็ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บนเวทีในช่วงจังหวะนั้นๆ สามารถเป็นมวยเชิงสูง สายตาดีเยี่ยม ฝีมือร้ายกาจจนได้รับการยกย่องเป็นยอดมวยอัจฉริยะ ฉายาจริงๆ คือ "พยัคฆ์หน้าหยก" หมายถึงไอ้เสือรูปหล่อตรงตัวเลย

ปัจจุบันสามารถเป็นนักแสดงติดอันดับที่มักจะจับคู่กับ เขาทราย แกแล็คซี่ "ซ้ายทะลวงไส้" ผู้มาจากโลกกำปั้นด้วยกันอีกคนหนึ่ง และบางครั้งยังรับจ๊อบเดินทางไปสอนมวยไทยยังสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

(เรียบเรียงเพิ่มเติมจากบทความ "สามารถ พยัคฆ์อรุณ ฉายา "พยัคฆ์หน้าหยก" " คอลัมน์ ฉายาชาวยุทธ์ โดย สว่าง สวางควัฒน์ หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับที่ 5130 วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2547 ปีที่ 14, "สกู๊ปพิเศษ 20 นักกีฬา 20 ปีสยามกีฬา" หนังสือพิมพ์สยามกีฬารายวัน ฉบับวันที่ 8 มีนาคม 2548, ต้นฉบับภาพประกอบจากนิตยสารมวยโลก)

เขาทราย แกแล็คซี่



ชื่อนักมวย: เขาทราย แกแล็คซี่

ชื่อจริง:
สุระ แสนคำ

วันเดือนปีเกิด:
15 พ.ค. 2502

ภูมิลำเนา:
จ. เพชรบูรณ์

สถิติ:
49-1-0; 43KO

เกียรติยศ
:
แชมป์แบนตั้มเวตเวทีราชดำเนิน (2525)
แชมป์จูเนียร์แบนตั้มเวต
WBA (
2527-2534)

ย้อนอดีตกลับไปเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ถ้าถามว่าใครคือนักมวยขวัญใจชาวไทยตัวจริง? คำตอบย่อมเป็นเสียงเดียวกันว่า "เขาทราย แกแล็คซี่" เพราะชื่อนี้มีมนต์เสน่ห์ที่สามารถหยุดความเคลื่อนไหวต่างๆ ลงได้ชั่วขณะ ไม่เว้นแม้แต่รถที่กำลังแล่นอยู่ตามท้องถนน...

เพราะทุกครั้งที่ "เขาทราย แกแล็คซี่" ขึ้นเวทีชก ไม่ว่ากับใคร ที่ไหน เมื่อใดทุกบ้านช่องห้องหอ ผู้มีมวยในหัวใจทุกวัยทุกเพศต่างต้องหยุดภารกิจ เพื่อที่จะได้ดูการชกของเขาทราย แกแล็คซี่ ผ่านจอทีวีให้ถนัดๆ ตา ซึ่งก็ไม่เคยผิดหวังเลยสักครั้งเดียว.!!

เขาทราย "สุระ แสนคำ" เกิด 15 พ.ค. 2502 ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ หัดมวยครั้งแรกกับ ครูปราการ วรศิริ เมื่อปี 2518 ชกมวยไทยในชื่อ "ดาวเด่น เมืองศรีเทพ" ถึง 50 ครั้ง
ก่อนจะเบนเข็มมาชกมวยสากลอาชีพเมื่อปี 2523 ภายใต้การจัดการของ "แชแม้" นิวัฒน์ เหล่าสุวรรณวัฒน์ และมีเทรนเนอร์คนแรกก็
คือ "ครูเฒ่า" ชนะ ทรัพย์แก้ว แล้ว "โกฮง" พงษ์ ถาวรวิวัฒน์บุตร จึงเข้ามารับช่วงในตอนหลัง

บนเส้นทางกำปั้นสายอินเตอร์
ขึ้นชิงแชมป์แบนตั้มเวตเวทีราชดำเนินครั้งแรกแพ้คะแนน 10 ยก ศักดา ศักดิ์สุรีย์ ย่างไรก็ตามเขาทรายก็ได้โอกาสขึ้นชิงอีกครั้งหนึ่งเพราะทางศักดาสละตำแหน่ง และก็ใช้เวลาเพียง 7 ยกก็สยบ ศักดิ์สมัย ช.สิริรัตน์ลงได้ ย่างไรก็ตามเขาทรายกลับลดรุ่นลงมาชกพิกัด 115 ปอนด์ในเวลาต่อมา เขาทรายต้องใช้เวลาไต่เต้าสั่งสมประสบการณ์อยู่นานถึง 5 ปี ขึ้นชก 28 ครั้ง และเคยถูกเรียกอย่างเย้ยหยันว่า "เขาควาย" มาแล้ว กว่าจะประสบความสำเร็จได้ครองแชมป์โลกรุ่นจูเนียร์แบนตั้มเวตของ
สมาคมมวยโลก (WBA) โดยชนะ TKO ยก 5 ยูเซบิโอ เอสปินัล คู่ชิงตำแหน่งว่างจากเวเนซูเอล่า เป็นแชมป์โลกชาวไทยลำดับที่ 9 เมื่อ 21 พ.ย. 27 ณ เวทีราชดำเนิน
เขาทรายเป็นมวยหมัดซ้ายหนัก โดยเฉพาะหมัดกระทุ้งลำตัวแถวๆชายโครงอ่อนนั้น เขาทรายชกได้รุนแรงมากแม้จะดูว่าไม่มีพิษสงอะไร แต่ความจริงมันเป็นหมัดที่ตัดกำลังคู่ต่อสู้ได้อย่างชะงัด
ตรงนี้เองคือที่มาของฉายา "ซ้ายทะลวงไส้" ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของเอกบุรุษจากเพชรบูรณ์ตลอดมา

มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพูดถึงพลังหมัดของเขาทรายเอาไว้ดังนี้
ตัวแปรทางด้านคิเนเมติกส์:
1. หมัดฮุคซ้าย ระยะทางเฉลี่ย 80.90 เซนติเมตร ระยะเวลาเฉลี่ย 0.15 วินาที ความเร็วเฉลี่ย 5.49 เมตร/วินาที และความเร่งเฉลี่ย 39.92 เมตร/วินาที2
2. หมัดฮุคขวา ระยะทางเฉลี่ย 73.33 เซนติเมตร ระยะเวลาเฉลี่ย 0.14 วินาที ความเร็วเฉลี่ย 5.32 เมตร/วินาที และความเร่งเฉลี่ย 36.65 เมตร/วินาที2
3. หมัดอัปเปอร์คัทซ้าย ระยะทางเฉลี่ย 55.23 เซนติเมตร ระยะเวลาเฉลี่ย 0.15 วินาที ความเร็วเฉลี่ย 4.27 เมตร/วินาที และความเร่งเฉลี่ย 38.32 เมตร/วินาที2
4. หมัดอัปเปอร์คัทขวา ระยะทางเฉลี่ย 58.84 เซนติเมตร ระยะเวลาเฉลี่ย 0.18 วินาที ความเร็วเฉลี่ย 3.42เมตร/วินาที และความเร่งเฉลี่ย 20.08 เมตร/วินาที2
5. การชกหมัดตรงซ้าย ระยะทางเฉลี่ย 79.25 เซนติเมตร ระยะเวลาเฉลี่ย 0.18 วินาที ความเร็วเฉลี่ย 4.59 เมตร/วินาที และความเร่งเฉลี่ย 27.80 เมตร/วินาที2
6. การชกหมัดตรงขวา ระยะทางเฉลี่ย 77.12 เซนติเมตร ระยะเวลาเฉลี่ย 0.21 วินาที ความเร็วเฉลี่ย 3.74 เมตร/วินาที และความเร่งเฉลี่ย 18.19 เมตร/วินาที2


เขาทราย แกแล็คซี่ ถือเป็นแชมป์โลกสุดฮอตยอดฮิตคนหนึ่งของเมืองไทย เคยได้รับการบรรจุชื่อเป็นนักมวยยอดเยี่ยมประจำปีของสมาคมมวยโลกหนึ่งเดียวในเอเชีย
และสามารถป้องกันตำแหน่งไว้ได้ถึง 19 ครั้งติดต่อกันโดยไม่เคยเสียเข็มขัดให้ใครเลยตลอดเวลา 7 ปีที่อยู่มา ครั้งสุดท้ายชนะคะแนน อาร์มันโด คาสโตร ที่สนามเทพหัสดิน กทม. เมื่อ 22 ธ.ค. 2534 แล้วประกาศสละตำแหน่งอย่างเป็นทางการอย่างสมศักดิ์ศรีและสง่างามเป็นที่สุด

หลังจากแขวนนวมเมื่อปี 2534 แล้ว เขาทรายได้ถูกชักชวนให้เข้าสู่วงการบันเทิง
เป็นนักแสดงในบทบาทต่างๆ รวมทั้งเคยออกเทปเพลงของตัวเอง 1 ชุด ชื่อว่า "ขอบคุณครับ" และยังเคยออกเทปร่วกบยอดนักชกอัจฉริยะ สามารถ พยัคฆ์อรุณ และ สมรักษ์ คำสิงห์ ในนามของวง "สามหมัดสะบัดไมค์" เขาทรายเป็นคนอัธยาศัยดี รู้จักการควรไม่ควร จึงสามารถสร้างตัวจนมีธุรกิจเป็นของตนเอง และมีฐานะทางสังคมไม่เป็นรองใครในปัจจุบัน

(ปรับปรุงเพิ่มเติมจากต้นฉบับเดิมเรื่อง "เจ้าระ" เขาทราย แกแล็คซี่ เจ้าของฉายา "ซ้ายทะลวงไส้" คอลัมน์ฉายาชาวยุทธ์ โดย สว่าง สวางควัฒน์ นังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2547 ปีที่ 14 ฉบับที่ 5095,
งานวิจัยด้านกีฬาเรื่อง "การวิเคราะห์เชิงชีวกลศาสตร์หมัดที่น๊อคเอาท์ของ เขาทราย กแลคซี่ ในการชกมวยป้องกันตำแหน่งแชมป์เปี้ยนโลก" เลขที่งานวิจัย/ปี พ.ศ. 275/2535 ผู้ประพันธ์ ถนอมวงศ์ กฤษณ์เพ็ชร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ต้นฉบับภาพประกอบจากนสพ.มวยสยามรายวัน)

สด จิตรลดา



ชื่อนักมวย: สด จิตรลดา

ชื่อจริง:
ชาวลิต วงศ์เจริญ

วันเดือนปีเกิด:
5 พฤษภาคม 2505

ภูมิลำเนา:
จ. ชลบุรี

สถิติ:
26-4-1; 16KO

เกียรติยศ:

แชมป์ฟลายเวต WBC (2527-2531, 2532-2534)

สดเป็นนักมวยที่มาจากนักมวยไทยนามว่า เชาวลิต ศิษย์พระพรหม ที่ บิ๊กผมอึ่งสหสมภพ ศรีสมวงศ์ จะจับมาสวมชื่อ มันส์ ส.จิตพัฒนา เพื่อลุ้นบัลลังก์โลก แต่ฝรั่งคนจัดอันดับเกิดเพี้ยนขึ้นมา มันส์ ส.จิตพัฒนา จึงกลายสภาพมาเป็น ส.จิตรลดา และกลายเป็น สด จิตรลดา ในท้ายที่สุด ดังนั้นสดจึงเป็นนักชกไทยราวเดียวในประวัติศาสตร์ที่ฝรั่งเป็นคนตั้งชื่อให้

สดเกือบจะได้ครองแชมป์ไลต์ฟลายเวต
WBC เป็นตำแหน่งแรกแล้ว เมื่อทาง น้าท่าน ส่งสดเดินทางไปชิงแชมป์ถึงเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นการชกเพียงไฟต์ที่ 5 ของสดเท่านั้น แต่สดก็ตะบันเอา ชาง จุง คู เจ้าของตำแหน่งเสียเละเทะ แต่สดก็ถูกกลโกงของกรรมการต่างๆมากมาย เช่น กรรมการห้ามบนเวที เดินขาเป๋ ขาลาก เพื่อถ่วงเวลาให้แชมป์ชาวเกาหลีฟื้นตัว ก่อนที่จะรวมคะแนนให้สดแพ้ไปแบบน่าเกลียด เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2527


แต่ในปีเดียวกันสดก็ข้ามรุ่นมาชิงแชมป์ฟลายเวต
WBC จาก กราเบรียล เบอร์นัล แชมป์โลกชาวเม็กซิโก และก็เอาชนะคะแนนคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2527 สดป้องกันแชมป์เอาไว้ได้ 6 ครั้งก่อนที่จะบินไปเสียแชมป์ที่เกาหลีใต้ด้วยการแพ้คะแนน คิม ยอง กัง อย่างเป็นเอกฉันท์ เมื่อ 24 กรกฎาคม 2531 แต่สดก็แก้มือได้ในปีต่อมาโดยการชนะคะแนนคิมอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ที่จังหวัดตรังกลับมาครองแชมป์สมัยที่ 2 เมื่อ 3 มิถุนายน 2532

สดป้องกันแชมป์ไว้ได้อีก
4 ครั้งก่อนที่จะพลาดท่าแพ้ TKO 6 เมืองชัย กิตติเกษม อดีตแชมป์จูเนียร์ฟลายเวต IBF ที่ข้ามรุ่นมาชิงแชมป์ด้วยอย่างหมดรูป เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2534 สดอุ่นเครื่องชนะอีก3 ไฟต์ก็พยายามกลับมาชิงแชมป์อีกครั้งแต่ก็ถูกเมืองชัยย้ำแค้นได้อีกแพ้ TKO 9 ไปอย่างย่อยยับ เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2535 และได้วางนวมไปในที่สุดหลังจากไฟต์นี้เอง

ล่าสุดมีข่าวว่า สดได้เดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่ก็ไม่ทราบว่าจะเป็นการย้ายถิ่นฐานถาวรของสดหรือไม่ ถ้าไม่ สดจะกลับเมืองไทยเมื่อใด
?


(ต้นฉบับภาพประกอบจากนิตยสารโลกกำปั้น)

พเยาว์ พูนธรัตน์



ชื่อนักมวย: พเยาว์ พูนธรัตน์

ชื่อจริง: ร.ต.อ. พงษ์พัฒน์ (พเยาว์) พูนธรัตน์

วันเดือนปีเกิด:
15 ตุลาคม 2499

ภูมิลำเนา:
อ. บางสะพาน, จ. ประจวบคีรีขันธ์

สถิติ:
10-4-0; 7KO

เกียรติยศ
:
แชมป์ซูปอร์ฟลายเวต WBC (2526-2527


พเยาว์ พูนธรัตน์ เป็นนักมวยไทยคนแรกที่ได้เหรียญในกีฬาโอลิมปิคเกมส์

โดยพเยาว์ได้เหรียญทองแดงในปี 2519 ที่กรุงมอนทรีออล, ประเทศแคนาดา

ต่อมาพเยาว์ได้ขึ้นชกอาชีพและได้เป็นแชมป์ซูเปอร์ฟลายเวต WBC โดยการชนะคะแนนไม่เป็นเอกฉันท์เหนือต่อ ราฟาเอล โอโรโน่ แชมป์ชาวเวเนซูเอล่า จากนั้นขึ้นป้องกันตำแหน่งเอาไว้ได้ 1 ครั้ง ก่อนจะบินไปเดิมพันแชมป์กับ จิโร่ วาตานาเบ้ แชมป์จูเนียร์แบนตั้มเวต WBA ที่ประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามทาง WBA ไม่ยินยอมและปลดวาตานาเบ้ออกจากตำแหน่งก่อนการชกจะเกิดขึ้น ทำให้วาตานาเบ้กลับกลายมาเป็นผู้ท้าชิงของพยาว์แทน และก็เอาชนะคะแนนไม่เป็นเอกฉันท์เหนือต่อพเยาว์แย่งแชมป์ไปได้แบบค้านสายตา


อย่างไรก็ดีพเยาว์ได้บินไปชิงแชมป์คืนอีกครั้ง แต่คราวนี้ถูกวาตานาเบ้ถล่มเอาชนะ TKO ไปในยก 11 ชิงแชมป์ไม่สำเร็จ พเยาว์กลับมาขึ้นชกอีกครั้งในเมืองไทยแพ้คะแนนให้กับ ก้องธรณี พยัคฆ์อรุณ จากนั้นจึงวางนวมไปในที่สุด


ต่อมาพเยาว์ได้ลงสมัครสส. และได้รับเลือกเป็นสส.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ภายใต้สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ตามต่อมาพเยาว์ล้มป่วยด้วยโรคทางระบบประสาท ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis) ทำให้ไม่สามารถใช้แขนขาได้สะดวกนักในปัจจุบัน และข้อความต่อไปนี้เป็นรายละเอียดของอาการป่วยของเขา ที่เขาบอกเล่าด้วยตนเอง


"อดีตฮีโร่โอลิมปิกคนแรกของไทย" พเยาว์ พูนธรัตน์ คั้นหัวใจเขียนหนังสือด้วยปากคล้ายเกมผีถ้วยแก้วร้องเรียนผ่านสื่อ หวังเป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาลยื่นมือช่วยเหลืออาการป่วย หลังสมาคมมวยและโอลิมปิก ให้เงินช่วยเพียงรายละ 5 พันเท่านั้น ทั้งๆ ที่ค่าใช้จ่ายรักษาสุดโหดเดือนละร่วมครึ่งแสน

จากอาการป่วยด้วยโรคร้ายดังกล่าวทำให้เขาไม่ไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนและพูดจาได้ กลายเป็น "เจ้าชายรถเข็น" มาตั้งแต่ปี 2545 และหมดสภาพการเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎร จ.ประจวบคีรีขันธ์ไปโดยปริยาย ได้ร้องเรียนผ่านสื่อในงานมอบรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2548 ที่ผ่านมา

พเยาว์ที่เดินทางมาจาก จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมกับ นางอดาวัลย์ พูนธรัตน์ ภรรยา ได้แสดงท่าทีตื้นตันใจที่ได้รับรางวัลทำเนียบเกียรติยศนักกีฬาไทย แม้ว่าเขาจะไม่สามารถแสดงออกทางใบหน้าหรือคำพูด ได้เขียนหนังสือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มป่วยก่อนเดินทางมากรุงเทพฯ ด้วยการใช้ปากคาบหลอดกาแฟแล้วจิ้มไปยังพยัญชนะและสระบนแผ่นกระดาษคล้ายการเล่น "ผีถ้วยแก้ว" แล้วให้คนจดตามรวม 2 หน้า นำมาเป็นเอกสารร้องเรียน โดยมีใจความว่า

"ผมเป็นโรคเอแอลเอสไม่มีทางรักษาได้ ในอังกฤษมีคนเป็นกันมาก บ้านเราก็เป็นหนึ่งในล้าน ผมโชคไม่ดี อาการของโรคจะมีอาการหายใจติดขัด จะกินอาหารก็ลำบาก มีอาการสำลักตลอดเวลา ทุกวันผมต้องต่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่ ทุกวันนี้ผมเดินไม่ได้ แขนขาขยับไม่ได้ แต่ความจำและสมองของผมยังดีอยู่ ขอให้ทางรัฐบาลได้จัดงานวิจัย จัดงบประมาณให้มากกว่านี้ จากประสบการณ์การรักษาของผมด้วยสมุนไพร ทำให้ผมได้รู้ว่า สาเหตุการป่วยมาจากส่วนหนึ่งของเลือดเสีย"

"เป็นการช้ำของการต่อสู้ ซึ่งไม่สามารถจะนำเลือดที่เสียส่วนนี้มาฟอกให้ดีได้ จากการรักษาอยู่ประมาณ 2 ปี ทำให้รู้ว่าเลือดเสีย และไขมันที่ยังคั่งค้างอยู่ที่เป็นกลุ่มก้อนนั้นได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่า เป็นส่วนหนึ่งของไขมันและเลือด มีพยานจำนวนมากที่ได้เห็นได้รู้ มีหมอรักษาแผนโบราณอยู่ที่ ต.ตาขวัญ อ.เมือง จ.ระยอง ผมขอเรียกร้องว่า ครั้งหนึ่งผมได้เหรียญทองแดงในปี 2519 และได้รับความช่วยเหลือในปี 2545 ผมกำลังจะหมดลมหายใจ ใครจะช่วยเหลือในเรื่องยา ซึ่งตกเดือนละประมาณ 25,000 บาท และค่าอาหารทางด้านโปรตีน และอื่นๆ ก็ตกเดือนละประมาณ 20,000 บาท" ลงชื่อ พเยาว์ พูนธรัตน์

ด้านนางอดาวัลย์ กล่าวทั้งน้ำตาว่า ที่ผ่านมาได้รับเงินช่วยเหลือจากสมาคมมวยและโอลิมปิก แห่งละ 5 พันบาทเท่านั้น จึงอยากวิงวอนรัฐบาลว่า อาการของ พเยาว์ ไม่ได้เกิดจากการป่วย แต่เป็นเพราะบอบช้ำจากการชกมวยรับใช้ชาติ หากรัฐบาลเล็งเห็นในจุดนี้ก็น่าจะยื่นมือมาช่วยเหลือบ้าง ทุกวันนี้เงินทองที่มีอยู่ก็หมดไปกับการรักษาตัว แถมหมอแผนปัจจุบันก็ยืนยันว่ารักษาไม่ได้ จึงต้องขอความเห็นใจจากสื่อให้ช่วยกระตุ้นรัฐบาลให้ด้วย

ล่าสุดพเยาว์เสียชีวิตอย่างสงบเมื่อเวลา 15:29 น. ของวันที่ 13 สิงหาคม 2549 ที่โรงพยาบาลศิริราช พ้นทรมานจากโรคร้ายไปสบายแล้ว

(เนื้อหาจากข่าว "พเยาว์คั้นหัวใจร้องสื่อ วอนรัฐบาลยื่นมือช่วย ย้ำป่วยหนักเพราะมวย", นสพ.คมชัดลึก ฉบับวันที่ 28 เมษายน 2548, ต้นฉบับภาพประกอบนิตยสารโลกกำปั้น)

Special Article

จากเว็บไซด์ siam-handicrafts.com เนื้อหาบางส่วนจาก นสพ.ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 11 พฤษภาคม 2548

ตั้งแต่ปี พ
.. 2519 ประเทศไทยไม่เคยห่างหายจากเหรียญรางวัลจากมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ หรือกีฬาโอลิมปิก ในวันนี้นักกีฬาที่คว้าเหรียญรางวัลกลับมาล้วนแปรเปลี่ยนสถานะจากนักกีฬาธรรมดาเข้าขั้นเศรษฐีกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สมรักษ์ คำสิงห์, มนัส บุญจำนงค์ หรือ แม้แต่ เยาวภา บุรพลชัย ที่แม้จะคว้าเหรียญทองแดง แต่กลับมีหน้าตาเป็นรูปทรัพย์โกยชื่อเสียงเกียรติยศเงินทองกันเป็นว่าเล่น

แต่หากมองย้อนกลับไปถึงวีรบุรุษเหรียญรางวัลคนแรกที่ประเทศไทยมีมา ย่อมไม่มีใครลืมเลือนชื่อของ
"จ้อน" พเยาว์ พูลธรัตน์

พเยาว์ พูลธรัตน์ หนุ่มน้อยนักชกมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย จากอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เกิดเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2499 และเป็นคนบ้านเดียวกับ โผน กิ่งเพชร แชมป์มวยโลกคนแรกของประเทศไทย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในวัยเด็กของพเยาว์ จะมีฮีโร่คนบ้านเดียวกันอย่างโผนเป็นแม่แบบ พร้อมกับมุ่งมั่นสร้างฝันผลักดันตัวเองไปสู่จุดที่ฮีโร่ในวัยเด็กเคยทำได้

ถึงวันนี้ พเยาว์ พูลธรัตน์ ได้ ก้าวข้ามหลักชัยแห่งความสำเร็จในฐานะนักมวยสมัครเล่นและนักมวยอาชีพมาแล้ว และความสำเร็จนั้นได้ต่อยอดให้ พเยาว์ เปลี่ยนสถานะจากอดีตแชมป์โลกเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ
.. 2544 สังกัดพรรคการเมืองใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ แต่ดูเหมือนเส้นทางชีวิตที่ต่อสู้มาด้วยสองกำปั้นของพเยาว์จะสะดุดล้มอย่างไม่เป็นท่า เมื่อเขาต้องพบกันบททดสอบชีวิตครั้งใหญ่หลังป่วยเป็นโรคเอแอลเอส ร่างกายไม่สามารถขยับหรือสื่อสารผ่านคำพูดได้

ชีวิตที่กำลังต่อยอดจากความสำเร็จของพเยาว์ในวันนี้ กลับร่วงลงสู่พื้นดินเช่นเดิม ศักดิ์ศรีในฐานะฮีโร่โอลิมปิก ความภูมิใจในฐานะสมาชิกผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นบ้านเกิด ถึงจุดสิ้นสุดด้วยความรวดเร็ว ถึงวันนี้ พเยาว์ และคนในครอบครัวยังต่อสู้กับชีวิตที่เหลืออยู่แม้ไม่อาจสร้างความภาคภูมิใจให้กับพี่น้องชาวไทยได้เหมือนก่อน แต่ศักดิ์ศรีของอดีตวีรบุรุษโอลิมปิก และแชมป์โลก วันนี้ด้วยชื่อ พเยาว์ พูนธรัตน์ คือความทระนง เดียวที่ทำให้เขายังใช้ชีวิตต่อไปได้

1. ย้อนกลับไปดูปูมหลังของ พเยาว์ พูลธรัตน์ เมื่อครั้งที่ใช้ชื่อ "เพชรพเยาว์ ศิษย์ครูทัศน์" บนสังเวียนมวยไทย ความสามารถและหน่วยก้านประกอบกับลีลาการชกที่ไม่ธรรมดา อีกทั้งยังมีสไตล์การออกหมัดที่เป็นจังหวะจะโคนดีกว่านักมวยไทยคนอื่นๆ จึงเปลี่ยนให้ "เพชรพเยาว์ ศิษย์ครูทัศน์" ก้าวข้ามจากเวทีนักสู้มาสู่สังเวียนมวยสากลสมัครเล่นเต็มรูปแบบ พร้อมพัฒนาลีลาการชกจนได้ติดธงชาติไทยไปชกในกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 21 ปี ค.1976 ณ เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ซึ่งการแข่งขันในครั้งนั้นเป็นการชกในฐานะนักมวยโอลิมปิกเป็นครั้งแรกอีกด้วย

เวลานั้น พเยาว์ หรือจ้อน เพิ่งมีอายุเพียง
19 ปี เรียนชั้นมัธยมปีที่ 5 ที่โรงเรียนการช่างวัดราชสิทธิ อีกทั้งยังเพิ่งหันเหชีวิตมาชกมวยสากลสมัครเล่นได้แค่ 2 ปีเท่านั้น ไม่มีใครคิดว่าเด็กหนุ่มจากบางสะพานจะผ่านเข้ารอบ ลึกๆ ในการแข่งขันชกมวยสากลสมัครเล่นโอลิมปิก ที่อุดมไปด้วยนักชกฝีมือดีมากมาย

การฝ่าฟันสู่เหรียญรางวัลโอลิมปิก เหรียญแรกของคนไทย พเยาว์ ที่ผ่านเข้าสู่รอบ
8 คนสุดท้ายของรุ่นฟลายเวต ต้องไปพบกับกระดูกชิ้นโตอย่าง ยียอง ยีแยโด้ นักชกทีมชาติฮังการี ในยุคสมัยที่ไม่มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันผ่านทางโทรทัศน์ บรรดาแฟนมวยชาวไทยจึงต้องนั่งลุ้นอยู่ที่หน้าเครื่องรับวิทยุเพียงอย่างเดียว แม้ประสบการณ์ในเวทีระดับสากลจะมีน้อย แต่นักชกไทยก็สู้ไม่ถอย ซึ่งภายหลัง พเยาว์ ยอมรับว่าขณะชกตอนนั้นไม่คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงอยากได้เหรียญรางวัลกลับประเทศไทยเท่านั้น

ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น พเยาว์ คว้าเหรียญทองแดงมาคล้องคอให้คนไทยทั้งประเทศได้ภูมิใจสำเร็จ ยุติการรอคอยเหรียญรางวัลโอลิมปิกเหรียญแรกของคนไทย ซึ่งใช้เวลาถึง 24 ปีหลังส่งนักกีฬาทีมชาติไทยเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในปี 1952 ที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์

นอกจากการคว้าเหรียญทองแดงของพเยาว์ จะเป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ของนักกีฬาไทยคนแรกแล้ว สังเวียนมวยสากลสมัครเล่นของการแข่งขันโอลิมปิกปี
1976 ยังเป็นเวทีแจ้งเกิดของนักชกผู้ยิ่งใหญ่ต่อมาในอนาคตถึง 3 คน นั่นคือ ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด, ลีออน สปิ๊งค์ส และไมเคิล สปิ๊งค์ส ซึ่งคว้าเหรียญทองมาครอง และต่อมาทั้งหมด ต่างขึ้นครองบัลลังก์แชมป์โลกได้ รวมถึงตัวพเยาว์เองด้วย

2. แน่นอนว่า ความสำเร็จในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทยคนแรกที่คว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันโอลิมปิก จะเป็นความยิ่งใหญ่ชนิดที่เด็กหนุ่มวัย 19 ปีนึกไม่ถึงแล้ว เส้นทางชีวิตต่อจากนั้นของพเยาว์ เปรียบเสมือนกราฟชีวิตที่ไต่ขึ้นสู่ความสำเร็จสูงสุด


หลังชัยชนะในโอลิมปิก พเยาว์กลับมาชกมวยสากลอาชีพอีกหลายรายการ โดยโชว์ฟอร์มได้ดีจนชนะติดต่อกันถึง
8 ไฟต์รวด ก่อนก้าวขึ้นชกชิงแชมป์โลกกับ ราฟาเอล โอโรโน่ ในปี พ.. 2526 และการชกในวันนั้นจบลงด้วยชัยชนะของวีรบุรุษเหรียญทองแดง คว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ

ในฐานะแชมป์โลกพเยาว์ขึ้นป้องกันตำแหน่งอย่างสมศักดิ์ศรีเรื่อยมา จนถึงเวลาหมดวาระของพ่อค้ากำปั้น พเยาว์ต้องยินยอมรับความพ่ายแพ้เมื่อเสียเข็มขัดให้กับ จิโร่ วาตานาเบ้ ที่ประเทศญี่ปุ่น ก่อนหวนคืนสังเวียนอีกครั้ง แต่ก็ต้องพ่ายให้กับนักมวยรุ่นน้องอย่าง ก้องธรณี พยัคฆ์อรุณ ที่สุด พเยาว์ ตัดสินใจอำลาจากลิ่นสาปนวมเมื่อพบว่าวันเวลาของตนเองได้หมดลง

ภายหลังเลิกชกมวย พเยาว์เข้ารับราชการตำรวจจนประดับยศ
"ร้อยตำรวจเอก" ซึ่งหลังจากนั้นก็ลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัว ก่อนจะผันตัวมาลงสมัครรับเลือกตั้งได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.. 2544 ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นบ้านเกิดในนามพรรคประชาธิปัตย์ นับเป็นเกียรติยศสูงสุดที่เด็กหนุ่มผู้มีความมานะทุ่มเทควรได้รับแล้ว


ก่อนหน้าที่จะลงสู่สนามผู้แทน พเยาว์กล่าวกับคนรอบข้างว่าตลอดการชกมวยสากลที่ผ่านมา กำลังใจที่ได้รับสำหรับตัวเองจนถึงวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นชื่อเสียง เพราะทุกวันนี้ไม่ว่าจะไปไหน มีคนรู้จักไปทั่วประจวบคีรีขันธ์ อันเป็นต้นทุนทางสังคม ที่ได้เปรียบกว่าผู้สมัครคนอื่นและเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจหันมาเอาดีบนสังเวียนการเมือง


3. จากนักมวยไทยสู่นักมวยสากลสมัครเล่น ประสบความสำเร็จในชีวิตสูงสุดด้วยเหรียญทองแดงโอลิมปิกปี 2519 ขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์โลกในปี 2526 เปลี่ยนชีวิตสู่สังเวียนการเมืองในปี 2544 เส้นทางต่อจากนี้ของพเยาว์ น่าจะปูลาดสู่สภาหินอ่อนไปอีกหลายสมัย แต่ใครจะเชื่อว่านักมวยผู้กรำศึกสังเวียนเลือดมาแล้วหลายครั้งต้องพ่ายให้กับมรสุมชีวิตลูกใหญ่กับโรคเอแอลเอสทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ ทุกวันนี้พเยาว์ต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี พ.. 2545

ในการเลือกตั้งใหญ่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2548 ที่ผ่านมา พเยาว์ พูลธรัตน์ ที่ไม่พร้อมจะลงทำหน้าที่เดิมของตน ได้ส่งนางอดาวัลย์ พูลธรัตน์ ผู้เป็นภรรยา ลงรักษาพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขต 3 ในนามพรรคประชาธิปัตย์แทน แต่คำตอบที่ พเยาว์ ได้รับกลับเป็นการปฏิเสธจากคณะกรรมการบริหารพรรค เนื่องจากต้องการส่งผู้สมัครรายอื่นลงเลือกตั้งแทน

เรื่องดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับ นางอดาวัลย์ เป็นอย่างมาก จึงย้ายไปสังกัดพรรคไทยรักไทย พร้อมด้วยสมาชิกพรรคในพื้นที่อีกจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถเบียดเอาชนะผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นได้ จนพ่ายแพ้ไปในที่สุด จากนั้นข่าวความเคลื่อนไหวของทั้งคู่ก็เงียบหายไปจากหน้าสื่อมวลชน


4. วันที่ 27 เมษายน 2548 ในงานมอบรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม ของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยนักชกผู้พิชิตเหรียญรางวัลโอลิมปิกคนแรกของไทย ยอมปรากฏกายสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกหลังเก็บตัวอยู่ในบ้านพักทั้งที่กรุงเทพฯ และ บางสะพาน

ในวันนั้นพเยาว์เดินทางมาพร้อมกับ นางอดาวัลย์ พูลธรัตน์ ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ในฐานะที่ได้รับรางวัล ทำเนียบเกียรติยศนักกีฬาไทย แม้จะตื้นตันกับเกียรติยศที่ได้รับ แต่พเยาว์ก็ไม่สามารถแม้แต่จะแสดงความยินดีออกทางใบหน้าหรือคำพูดเช่นคนปกติทั่วไป แต่พเยาว์ยังไม่ยอมแพ้ เขาตัดสินใจสู้กับชะตาชีวิตของตนเองอีกครั้ง ด้วยการเขียนหนังสือร้องเรียนโดยใช้ปากคาบหลอดกาแฟแล้วจิ้มไปยังพยัญชนะและสระบนแผ่นกระดาษก่อนหน้าเดินทางมาร่วมงาน โดยมีใจความในเอกสารร้องเรียนว่า

"ผมเป็นโรคเอแอลเอสไม่มีทางรักษาได้ ในอังกฤษมีคนเป็นกันมาก บ้านเราก็เป็นหนึ่งในล้าน ผมโชคไม่ดี อาการของโรคจะมีอาการหายใจติดขัด กินอาหารก็ลำบาก มีอาการสำลักตลอดเวลา ทุกวันผมต้องต่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่ ทุกวันนี้ผมเดินไม่ได้ แขนขาขยับไม่ได้ แต่ความจำและสมองของผมยังดีอยู่ ขอให้รัฐบาลจัดงานวิจัย จัดงบประมาณให้มากกว่านี้"

"ผลมาจากอาการบอบช้ำของการต่อสู้ ซึ่งไม่สามารถจะนำเลือดที่เสียส่วนนี้มาฟอกให้ดีได้ จากการรักษาอยู่ประมาณ 2 ปี ทำให้รู้ว่าเลือดเสีย และไขมันที่ยังคั่งค้างอยู่ที่เป็นกลุ่มก้อนนั้นได้พิสูจน์ออกมาแล้วว่า เป็นส่วนหนึ่งของไขมันและเลือด มีพยานจำนวนมากที่ได้เห็นได้รู้ มีหมอแผนโบราณรักษาอยู่ที่ตำบลตาขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ผมขอเรียกร้องว่า ครั้งหนึ่งผมได้เหรียญทองแดงในปี พ.. 2519 และได้รับความช่วยเหลือในปี พ.. 2545 ผมกำลังจะหมดลมหายใจ ใครจะช่วยเหลือในเรื่องยา ซึ่งตกเดือนละประมาณ 25,000 บาท และค่าอาหารทางด้านโปรตีน และอื่นๆ ก็ตกเดือนละประมาณ 20,000 บาท"

ขณะเดียวกัน นาง อดาวัลย์ พูลธรัตน์ ภรรยาของวีรบุรุษชาวไทย ระบายความในใจขณะที่น้ำตานองหน้าว่า
ที่ผ่านมาได้รับเงินช่วยเหลือจากสมาคมมวยและโอลิมปิก แค่เพียงหน่วยงานละ 5 พันบาทเท่านั้น จึงอยากวิงวอนรัฐบาลว่าอาการของพี่พเยาว์ ไม่ได้เกิดจากการป่วย แต่เป็นเพราะบอบช้ำจากการชกมวยรับใช้ชาติ หากรัฐบาลเล็งเห็นในจุดนี้ก็น่าจะยื่นมือมาช่วยเหลือบ้าง

ความเดือดร้อนของครอบครัวพูลธรัตน์ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง จากเงินทองที่เคยมีเหลือเก็บ ปัจจุบันก็ถูกนำไปใช้รักษาอาการป่วยของหัวหน้าครอบครัวจนหมด โดยนางอดาวัลย์กล่าวว่า ทุกวันนี้เงินทองที่มีอยู่ก็หมดไปกับการรักษาตัวพี่พเยาว์ แถมตอนนี้ไปหาหมอแผนปัจจุบันที่ไหนก็ยืนยันว่ารักษาไม่ได้แล้ว จะไม่หายแล้ว จึงต้องขอความเห็นใจจากสื่อให้ช่วยกระตุ้นรัฐบาลให้ด้วย ว่าคนเคยรับใช้ชาติไม่ควรจะมีสภาพแบบนี้


อย่างไรก็ตาม ภรรยาคู่ทุกข์ของ พเยาว์ ยืนยันว่าการเรียกร้องผ่านสื่อไม่ใช่การเรียกร้องความสงสารจากใคร แต่ต้องการให้ผลของการสร้างผลงานของสามีตอบแทนกลับมาเป็นความช่วยเหลือกับชีวิตของ พเยาว์ ในวันนี้บ้าง

เพื่อเป็นเกียรติประวัติให้กับพเยาว์ และถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้รับทราบถึงผลงาน และความสามารถของนักชกเหรียญทองแดงโอลิมปิกคนแรกของประเทศไทย

นอกจากนี้ นางอดาวัลย์ พูลธรัตน์ ตั้งใจจะพิมพ์หนังสือขึ้นมา
1 เล่ม ในโอกาสครบรอบ 30 ปี ที่ พเยาว์ พูนธรัตน์ คว้าเหรียญทองแดงมาให้ประเทศไทยด้วยโดยกล่าวว่า เราตั้งใจจะทำหนังสือขึ้นมาสักเล่มในโอกาสครบรอบ 30 ปีที่พี่พเยาว์เอาเหรียญทองแดงโอลิมปิกมาให้ประเทศไทย สร้างชื่อเสียงให้คนทั้งโลกรู้จักประเทศไทย และพี่อยากจะทำตรงนี้ให้พี่พเยาว์

ถึงวันนี้เชื่อว่า พเยาว์ พูลธรัตน์ คงไม่ต้องการอนุสาวรีย์ เหมือนที่ โผน กิ่งเพชร ได้รับ สิ่งที่ต้องการในวันนี้คือการมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อครอบครัว ในฐานะสื่อ ทีมข่าวกีฬาผู้จัดการรายวัน ถือว่าได้ทำหน้าที่ในการเผยแพร่ข่าวความเคลื่อนไหว ของอดีตความภาคภูมิใจของอดีตฮีโร่ โอลิมปิกอย่างเต็มที่แล้ว

สิ่งที่ทำให้ พเยาว์ ยังต่อสู้กับชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปได้ นั้นคือความภาคภูมิใจในฐานะที่ครั้งหนึ่งได้ทำให้คนไทย โห่ร้องอย่างปิติยินดีด้วยชัยชนะในเวทีกีฬาโลกอย่างโอลิมปิก หากวันนี้คุณค่าของความเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งของพเยาว์ อาจถูกตีราคาด้วยตัวเลขที่ติดลบ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งยอดนักชกผู้นี้ได้เคยสร้างคุณค่าของตนเองจากอดีตนักมวยไทยค่าตัวไม่กี่สิบบาท จนก้าวมาเป็นฮีโร่โอลิมปิก เกียรติยศ ไม่สามารถประเมินเป็นตัวเลขได้ และเป็นสิ่งสุดท้ายที่ พเยาว์ พูลธรัตน์ ต้องการจากคนไทย ก่อนที่ลมหายใจของเขาจะหมดลง


Special Article

พเยาว์สุดปลื้มวีระพลควงเด่นเข้าเยี่ยม


จากเว็บไซด์
siamsport.com วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2549

พเยาว์ พูนธรัตน์ สุดปลื้มหลัง "เสี่ยฮุย" สุชาติ พิสิฐวุฒินันท์ พร้อม 2 นักชกขวัญใจชาวไทย รุ่นน้อง วีระพล นครหลวงโปรโมชั่น และ เ ด่น จุลพันธ์ รุดเยี่ยมและมอบเงินช่วยเหลือ ซึ่งวีระบุรุษโอลิมปิก สามารถอ้าปากรับรู้และพยักหน้ารับคำจะสู้ต่อไปไม่ยอมแพ้แน่ ด้านวีระพล วอนทุกฝ่ายช่วยเหลือวีรบุรุษของชาติเป็นการด่วน

เมื่อเวลา 13.30 น. วันอังคารที่ 21 ก.พ. ที่ผ่านมา วีระพล นครหลวงโปรโมชั่น อดีตแชมป์โลกรุ่นแบนตั้มเวต
WBC 2 สมัย และ WBA และ เด่น จุลพันธ์ แชมป์โลกรุ่น 105 ปอนด์ WBC 2 สมัย พร้อมด้วย "เสี่ยฮุย" สุชาติ พิสิฐวุฒินันท์ เข้าเยี่ยม พเยาว์ พูลธรัตน์ อดีตนักชกเหรียญทองแดงโอลิมปิก คนแรกของไทย และอดีตแชมป์โลกรุ่น 115 ปอนด์ WBC ที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อเสื่อม นอนพักรักษาตัวมาหลายปีแล้วที่ตึก 84 ปี โรงพยาบาลศิริราช โดยอดีตนักชกฮีโร่ อลป. ไทย ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากที่มีคนเหลียวแล

ด้าน "เสี่ยฮุย" ได้นำกระเช้าดอกไม้เยี่ยมพร้อมกับแจ้งคุณ ลัดดาวัลย์ พูนธรัตน์ ภรรยาคู่ใจว่าได้นำเงินจากการจัดมวยที่ท่าน้ำนนท์ เมื่อ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งรวบรวมได้กว่า 400,000 บาท และตอนนี้ ส.ส. ภิญโญ นิโรจน์ ได้รวบรวมมาฝากไว้กับทางการกีฬาแห่งประเทศไทย แล้ว ซึ่งทาง นางลัดดาวัลย์ ก็เผยว่า ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว

จากนั้น "เสี่ยฮุย" ได้พูดคุยกับ พเยาว์ ที่น้ำตานองหน้าว่า
"จำพวกผมได้ไหมที่มาเยี่ยมถ้าจำได้ให้หลับตา" พเยาว์ ก็หลับตา จากนั้น "เสี่ยฮุย" ถามว่า "ดีใจไหม ถ้าดีใจให้อ้าปาก" พเยาว์ ก็อ้าปาก ซึ่งทาง คุณลัดดาวัลย์ ถึงกับตะลึงเพราะที่ผ่านมา พเยาว์ แทบจะขยับปากไม่ได้เลย


และในตอนท้าย "เสี่ยฮุย" ถามว่า "จะสู้ต่อไหม ถ้าสู้ให้พยักหน้า" พเยาว์ ก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น ครอบครัว พูลธรัตน์ ถึงกับแสดงอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งแชมป์โลกรุ่นน้องอย่าง วีระพล และ เด่น ต่างก็รู้สึกศรัทธาในความใจสู้ของแชมป์โลกรุ่นพี่เป็นอย่างมาก

โดย วีระพล เผยว่า "อยากให้สังคมไทย เหลียวแลอดีตคนที่เคยทำชื่อเสียงให้ประเทศไทย มากกว่านี้
โดยเฉพาะนักมวยที่ต้องแลกความสำเร็จด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย และมักจะมีปั้นปลายชีวิตที่เป็นเช่นนี้หลายคน"

สำหรับอาการคืบหน้าของ พเยาว์ นั้น ทาง คุณลัดดาวัลย์ เผยว่า
"แพทย์ที่ดูแลอาการของ พเยาว์ อยู่อย่างใกล้ชิดบอกว่าอาการตอนนี่ก็มีแต่ทรงกับทรุด แต่ครอบครัวก็จะดูแลอย่างถึงที่สุด ดีใจมากที่สังคมไทย ยังให้ความสนใจดูแลอยู่"